‘ณัฐชา’ ขอเห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ก่อนเคาะโหวตไม่เห็นชอบ-งดออกเสียง
‘ณัฐชา’ ขอเห็นโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ ก่อนเคาะโหวตไม่เห็นชอบ-งดออกเสียง ไม่ติดใจคุณสมบัติ ‘เศรษฐา’ แต่ไม่หนุน ‘ประวิตร’ ชี้วาทกรรม ‘ก้าวไกล’ ต้องโหวตให้ ‘เพื่อไทย’ ไม่ใช่การปิดสวิตช์ สว. แต่เป็นการใช้กลไกกดดันแทน ขอ ปชช.จับตา สส.โหวตนายกฯตอบโจทย์หรือไม่
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการแสดงวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่จะมาทำงานให้ประชาชน 4 ปีข้างหน้า ควรให้ สส. ที่เป็นตัวแทนประชาชนได้สอบถามถึงทิศทางการบริหารประเทศ เพราะที่ผ่านเมื่อครั้งโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ก็ได้เปิดกว้างให้ สส. สอบถามถึงแนวปฏิบัติ ซึ่งการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เห็นว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอนายเศรษฐา ทวีสิน ขึ้นมา ถ้าหาก สส. มีอะไรจะสอบถามก็สามารถเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์ และชี้แจงได้ แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกล อาจจะไม่อภิปรายคุณสมบัติ เพราะที่ผ่านมาผ่านการเลือกตั้ง และประชาชนได้ตัดสินใจไปแล้ว
ส่วนทิศทางการโหวตนั้น นายณัฐชา กล่าวว่า ที่ประชุม สส.ก้าวไกล มีมติไปแล้วว่าจะไม่โหวตสนับสนุนนายเศรษฐา เนื่องจากยังมีความคลุมเคลือในการจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่เห็นหน้าตาของรัฐบาลใหม่ว่าเป็นอย่างไร โดยพรรคก้าวไกลจะให้โอกาสถึงวันที่ 21 สิงหาคมนี้ จะสรุปอีกครั้งว่าจะโหวตไม่เห็นชอบ หรือ งดออกเสียง แต่ถ้ายังไม่ชัดเจนก็จะโหวตไม่เห็นชอบ และต้องรอที่ประชุมว่าจะเสนอให้มีแสดงวิสัยทัศน์หรือไม่ พรรคก้าวไกลถึงจะมีมติลงคะแนนเสียงให้อย่างไร
นายณัฐชา กล่าวถึงความเหมาะสมระหว่างแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ ว่า แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลมีนโยบายหาเสียงใกล้เคียงกัน ทำให้ประชาชนต้องการให้พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคก้าวไกลเป็นอันดับ 1 ก็ต้องสนับสนุนนายพิธา แต่หากวันใดวันหนึ่งเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับ 1 พรรคก้าวไกลก็สนับสนุนเช่นกัน ไม่มีแนวทางหรือความเป็นไปได้ที่พรรคก้าวไกลจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกจากพรรคพลังประชารัฐ หรือเห็นว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐนั้นดีกว่า เพราะที่ผ่านมาได้บอกกับประชาชนไปแล้วถึงเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย และเห็นต่างกับพรรคพลังประชารัฐ หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และประชาชนได้ตัดสินใจแล้ว
ส่วนญัตติของนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ขอให้ทบทวนมติข้อบังคับรัฐสภาที่ไม่ให้เสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซ้ำได้นั้น นายณัฐชา กล่าวว่า ข้อบังคับสภา ข้อที่ 29 ผูกโดยสภา มีปัญหาโดยสภา การที่ให้หน่วยงานภายนอกมาตัดสินนั้นไม่เห็นด้วย สภาผูกก็ควรให้สภาแก้ ดังนั้น จึงอยากให้ทบทวนญัตติที่ลงมติไปแล้วสามารถทำได้ ส่วนการกระทำที่ไม่อยากให้เกิดการทบทวนอาจเกรง ว่า จะเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลอีกครั้ง จึงมองว่า มีความพยายามทำให้เป็นเกมการเมือง แต่ความถูกต้องควรคงอยู่คู่สภา และสภาควรทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งการตัดสินญัตตินี้ในครั้งที่ผ่านมา เคารพการทำหน้าที่ของประธาน ส่วนครั้งนี้ อยากจะขอความเห็นใจว่าเมื่อรัฐสภาที่ลงมติอย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้ว จะถูกบันทึกการทำหน้าที่ไปแล้วว่าทำถูกต้องหรือไม่
นายณัฐชา กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกล ไม่โหวตให้พรรคเพื่อไทยนั้นสวนทางกับการจะช่วยปิดสวิตซ์ สว. ว่า วาทกรรมการบอกว่า ก้าวไกลต้องโหวตให้เพื่อไทย เพื่อปิดสวิตซ์ สว. นั้นไม่ใช่ เพราะตอนนี้ สว. กำลังใช้อำนาจของตนเองในการไม่โหวตให้พรรคที่ได้อันดับ 1 การปิดสวิตซ์ สว. คือ สว. ต้องไม่มีความหมายในการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ต้องให้เสียงของ สส. มีอำนาจมากกว่า ขณะนี้ สว. ได้ประสบผลสำเร็จแล้วที่ไม่โหวตให้พรรคอันดับ 1 และใช้กลไกบีบ ว่าจะไม่เลือกพรรคนั้นพรรคนี้ และให้กลัว สว. ถือเป็นการบีบทางอ้อม และเป็นการร่วมกันปิดสวิตซ์ก้าวไกลมากกว่า
นายณัฐชา กล่าวอีกว่า การจับมือ 312 เสียง คือ ความชอบธรรมที่สุดแล้ว เป็นเรื่องที่พึงกระทำได้ดีที่สุด และเป็นความต้องการของประชาชนมากที่สุด เราปฏิเสธไม่ได้ ว่า เสียงที่ประชาชนเลือก 312 เสียง แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะต้องมีเสียงอื่นเข้ามาแทรกแซง อย่างเช่นเสียงของ สว. และพยายามกดดันแสดงความเห็นต่างๆ ให้ 312 เสียงต้องแตกจากกัน และเมื่อวันนี้ทำสำเร็จแล้วในขั้นแรก การจะรวบรวมเสียงใหม่ก็ขึ้นอยู่กับพรรคแกนนำจะตัดสินใจ จะรวบรวมเสียงเพิ่มจาก 312 เสียงก็สามารถทำได้ หรือ จะไปรวบรวมใหม่ก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งเป็นแนวความคิดของเขา และไม่ตรงกับแนวคิดของพรรคก้าวไกล จึงไม่สามารถโหวตให้ได้
นายณัฐชา กล่าวด้วยว่า หากมีช่องทางที่จะเสนอให้นายพิธากลับมาได้อีกครั้งพรรคก้าวไกลก็จะดำเนินการ เพราะได้รับความมอบหมายจากประชาชนแล้ว ไม่สามารถล้มเลิกได้อย่างง่าย วันนี้ 150 เสียงของพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันที่จะต่อสู้ เพื่อความต้องการของประชาชน แต่เราไม่สามารถทำได้ เพราะเรามีเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งนั้นสำคัญ และควรติดตามการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ว่า ผู้แทนที่เลือกมาตัดสินใจตอบโจทย์ประชาชนหรือไม่
“ประชาชนออกมากดดัน สส.ทุกพรรคการเมือง อยากให้เป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตยที่พรรคอันดับ 1 ควรได้เป็นนายกรัฐมนตรี เราต้องพูดเรื่องนี้กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง เพราะเกิดความไม่ปกติในสังคม มีคนพยายามบิดเบือน พยายามพูดว่า รวมเสียงกันฟากฝ่ายหนึ่งชนะก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องผิดปกติในระบอบประชาธิปไตย” นายณัฐชา กล่าว