'ก้าวไกล' แจงด่วน 2 ปมผู้สมัคร สส.ระยอง ยันรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี
'ก้าวไกล' โร่แจงปม 'โย พงศธร' ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส.ระยอง เขต 3 ยันมีรายได้จากตำแหน่งผู้ชำนาญการ สส. ส่วนร่วมหุ้นขายเบียร์ไม่ก่อให้เกิดรายได้นำไปสู่ปันผล ทำให้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ยันยื่นแบบฟอร์มกับ กกต.ถูกต้อง เชื่อมีขบวนการสาดโคลนดิสเครดิต
เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2566 เวลา 10.00 น. ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีข้อกล่าวหาทางด้านภาษีและคดียักยอกทรัพย์ ตามที่ปรากฏในข่าว
โดยนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2562 นายพงศธร ศรเพชรนิรทร์ ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว สส.ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ มีเงินรายได้ประมาณ 15,000 บาท/เดือน เมื่อคำนวณตลอดทั้งปี นายพงศธรจะมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่เกินที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายภาษี ดังนั้นเมื่อตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นายพงศธรก็ไม่ได้ยื่นแบบฟอร์มภาษี ทั้งที่ตัวเองก็โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย และคุณโยก็ได้ทำแบบฟอร์ม สส.4/7 เพื่อยืนยันว่าตัวเองมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่สอง กรณีสื่อผู้จัดการพาดหัวข่าวว่า “โซเชียลทั้งขุดทั้งแฉโย พงศธร ผู้สมัครเขต 3 ระยอง ก้าวไกล ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ขายเบียร์ใส่รถกันเป็นลังๆ อีกด้านขุดกันไปถึงคดียักยอกปี 61” ซึ่งเป็นพาดหัวค่อนข้างรุนแรง จึงขอชี้แจงตามนี้
กรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายพงศธร ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนเพื่อดำเนินธุรกิจนี้จริง แต่การประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่นำไปสู่การปันผลจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อไม่ได้รับปันผล นายพงศธรก็ไม่เคยต้องไปยื่นเสียภาษีในกรณีนี้ ดังนั้นรายได้ของนายพงศธรในช่วงเวลาที่ผ่านมา มาจากการทำหน้าที่ตำแหน่งผู้ชำนาญการ สส. เท่านั้น ประเด็นต่อมาคือคดีความที่นายพงศธรเคยถูกแจ้งความร้องทุกในคดียักยอกทรัพย์ ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ชัดเจนแล้วว่าสุดท้ายทางตำรวจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายพงศธรจึงยังมีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งได้
“ขอยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าเราเข้าใจดีในการตรวจสอบ และเราก็ยินดีที่พี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชนจะตรวจสอบพวกเรา เพราะถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการเมืองที่มีความโปร่งใส แต่เมื่อพิจารณาจากพาดหัวข่าวและประเด็นที่มีการโจมตี ต้องเรียนว่าเกินเลยจากข้อเท็จจริงไปมาก สุดท้ายก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าคงจะมีกลุ่มบุคคล ใครบางคนหวังใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หวังประโยชน์ทางการเมืองจากการดิสเครดิตนี้ ผมขอฝากว่าอย่าเลยครับ เรามาสู้กันเพื่อเอาชนะใจประชาชนมากกว่าจะมาใช้การสาดโคลนดิสเครดิตทางการเมือง จะดีกว่า” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนนายพงศธร กล่าวว่า มีพี่น้องประชาชนติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก โดยตนยังมีกำลังใจดี ไม่หวั่นไหวหรือกังวลต่อกรณีดังกล่าว และเชื่อว่าทุกวันนี้พ่อแม่พี่น้องทุกคนมีวุฒิภาวะแยกแยะข้อเท็จจริงได้