จบภารกิจ! 'ปิยบุตร' ระบายความในใจ หลังยุติบทบาท เผยเหตุที่ต้องวิจารณ์
จบภารกิจ! 'ปิยบุตร' ระบายความในใจ หลังประกาศยุติบทบาทการเมือง - เลิกโพสต์ถึง 'ก้าวไกล' ลั่นเป็นคนนอก ทั้งความจริง - ตามกฎหมาย ยันไม่เคยครอบงำ เผยเหตุที่ต้องวิจารณ์ เพราะอยากให้พรรคเป็นความหวังของสังคมไทย ถ้าปล่อยไปไม่ท้วงติง อาจทำให้พรรคส้มออกนอกทางได้
เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2566 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบายความในใจภายหลังประกาศยุติบทบาททางการเมือง และจะเลิกโพสต์ถึงพรรคก้าวไกล ระบุว่า เมื่อไรก็ตามที่ผมออกมาวิจารณ์หรือเสนอแนะพรรคก้าวไกลหรือ สส.พรรคก้าวไกล มักจะมีความเห็นตอบโต้ผมทำนองว่า… ทำไมไม่พูดกันภายใน ทำไมไม่ส่งไลน์กลุ่มหากัน มาพูดข้างนอกแบบนี้ พรรคโดนโจมตีหมด ทำไมไม่รู้จักระมัดระวัง เดี๋ยวจะโดนเล่นงานข้อหาครอบงำพรรค นี่ไง ผู้บงการพรรคตัวจริงมาแล้ว ตกลงปิยบุตรมันหวังดีกับพรรคหรือเปล่า? มันทะเลาะอะไรกันอีกนะ?
ผมเองเป็น “คนนอก” ของพรรคก้าวไกล ทั้งตามความเป็นจริง และตามข้อห้ามทางกฎหมาย บางครั้ง พรรคก้าวไกลตั้งไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงบ้าง เชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษบ้าง หรือมีโอกาสได้กินข้าวพูดคุยกับ สส.อยู่บ้าง แต่ผมเองก็ไม่มีอำนาจไปบังคับสั่งการพรรค และหากพรรคไม่เชิญไปบรรยายเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีโอกาสได้สื่อสารใดๆ กับ สส.หรือสมาชิกพรรค
วิธีการเดียวที่ผมมีอยู่ และพอจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคที่ผมเอาใจช่วยก็คือ สื่อสารตรงไปตรงมาในที่สาธารณะ เพราะ อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่า ความเห็นของผมทั้งหมดจะไปถึงสมาชิกพรรคทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน ไปถึง สส.ที่ได้เข้ามาอ่าน และไปถึงประชาชนที่เลือกหรือสนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกคน หากผมนำความเห็นไปบอกกับแกนนำบางคนหรือ สส.บางคน เราก็ไม่อาจทราบได้ว่าความเห็นเหล่านั้นจะถูกส่งต่อให้พรรค หรือ สส. หรือสมาชิกพรรค หรือไม่
การแสดงความเห็นของผมถึงพรรคก้าวไกล ไม่เข้าข่ายครอบงำพรรค กกต.เคยยกคำร้องมาแล้วในหลายกรณี และผมเองก็ไปสั่งพรรคไม่ได้ เขาจะทำไม่ทำ ก็เป็นเรื่องของพวกเขา หากตีความว่าการแสดงความเห็นของผมเข้าข่ายครอบงำพรรค ต่อไป นักวิชาการ ประชาชน สื่อมวลชน ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ก็ไม่สามารถวิจารณ์ เสนอแนะพรรคก้าวไกลได้เลยหรือ?
ในส่วนของบรรดาผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และเพื่อน สส. คณะผู้นำของพรรคก้าวไกล ขอโปรดเข้าใจด้วยว่า นี่คือ ความเห็นของกัลยาณมิตรคนหนึ่ง ซึ่งเอาใจช่วย สนับสนุน และฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลในการเปลี่ยนแปลงประเทศในช่วงหัวต่อหัวเลี้ยวเช่นนี้
ผมเองทราบดีว่า เมื่อไรก็ตามที่แสดงความเห็นถึงพรรคก้าวไกล ก็อาจมีโอกาสที่ผู้สนับสนุนพรรคจะไม่พอใจผมหรืออาจตอบโต้ก่นด่าผม คงมีส่วนน้อยที่อาจจะเข้าใจหรือเห็นด้วย การวิจารณ์พรรคก้าวไกลโดยตรง ย่อมนำมาซึ่งความไม่พอใจที่มีต่อผม หรือทำให้ความนิยมที่มีต่อผมลดลงด้วยซ้ำ เอาเข้าจริง ผมอยู่เฉยๆ ทำตนเป็นผู้ทรงภูมิ นิ่งเฉย หรืออวยพรรคก้าวไกล ผมคงได้คะแนนนิยม และได้ร้บการชื่นชมแน่ๆ
การแสดงความเห็นของผมถึงพรรคก้าวไกล ไม่ได้ทำให้ผมได้ประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะเพิ่มจำนวนคนที่ไม่เข้าใจ และเกลียดผมมากขึ้นด้วยซ้ำ จากเดิม ฝักฝ่ายอนุรักษนิยมจารีต และฝ่ายความมั่นคง ก็ไม่ชอบผมและปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารต่อผมต่อเนื่องมามากกว่าทศวรรษ พอพรรคก้าวไกลแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยอย่างเข้มข้นในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ก็ไม่พอใจผม (จากเดิมที่สนับสนุนผม ตั้งแต่สมัยผมเป็นนักวิชาการ) และผมก็ตกเป็นเป้าโจมตีของผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางคน มาวันนี้ พอผมวิจารณ์พรรคก้าวไกลตรงไปตรงมา ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลก็เริ่มต่อต้านไม่พอใจผมอีก
ทั้งหมดนี้ มีแต่เสียกับเสีย ผมไม่ได้อะไรเลย
แล้วผมทำไปทำไม? จะไปวิจารณ์พรรคก้าวไกล ให้คนสนับสนุนพรรคก้าวไกลมาด่าผมอีกทำไม ในเมื่อก็มีอีกหลายกลุ่มไม่พอใจความเห็นของผมอยู่มากแล้ว?
คำตอบก็คือ ผมยังเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกลเป็นความหวังของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย การปล่อยให้พรรคก้าวไกลทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่มีคนกล้าท้วงติงอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องที่อาจสร้างความไม่สะดวกสบายใจให้กับผู้สนับสนุน ย่อมทำให้พรรคก้าวไกลเดินออกนอกแนวทางได้ พรรคการเมืองที่หลงเหลืออยู่ มีจำนวนไม่มากที่เราฝากความหวังไว้ได้ เมื่อผมฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกล ผมย่อมคาดหวัง และเรียกร้องเป็นพิเศษ
ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานวิชาการต่อเนื่องมาสู่การเมือง ก็คิดอยู่เสมอว่า การแสดงความเห็น บางครั้งอาจทำให้คนไม่ชอบ บางครั้งอาจทำให้คนไม่นิยม แต่ถ้าเราเสนอความเห็นนั้นอย่างสุจริตใจ ตามจิตสำนึกของเรา และคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เราก็จำเป็นต้องแสดงความเห็นนั้นออกไป
ผมเตรียมข้อเขียนเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลเอาไว้ ข้อเขียนนี้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และน่าจะเป็นข้อเขียนสุดท้ายที่ผมเขียนวิจารณ์ถึงพรรคก้าวไกล หลังจากนี้จะเขียนงานวิชาการล้วนๆไม่เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล คงจะดีกว่า ผมอยู่ในสภาวะ “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” มาหลายปีแล้ว คิดว่า ควรต้องตัดสินใจเด็ดขาดเสียที เดิมที ผมตั้งใจจะไปหางานอย่างอื่นทำ ค่อยๆ ถอนตัวออกจากแวดวงการเมือง ดังที่เคยโพสต์ไว้เมื่อสิ้นปีที่แล้วต่อต้นปีนี้ แต่บังเอิญมีกรณีกับพรรคก้าวไกลและคณะนำชวนให้ผมกลับมาช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกล ผมยินยอมกลับมา เพราะเล็งเห็นถึงเป้าหมายใหญ่ในการเลือกตั้ง ทำให้ผมต้องยกเลิกแผนการที่วางไว้ทั้งหมด
มาบัดนี้ การเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลกำลังจะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค และคงดำเนินการตามแนวทางในแบบของเขา ทั้งการบริหารภายในพรรค และทั้งการดำเนินการทางการเมือง ดังนั้น ผมก็ควรจบภารกิจในทางการเมืองรอบนี้ได้แล้ว
จากนี้ไป ผมขอกลับไปทำอะไรหลายๆ อย่างตามแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี เช่น เขียนหนังสือที่ค้างไว้หลายปีนับตั้งแต่มาตั้งพรรคการเมือง จัดรายการในช่องทางของผมเพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องรัฐธรรมนูญและกฎหมายมหาชน ทดลองยกร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา และคำอธิบาย เผื่อจะเป็นแบบให้ใครนำไปใช้ก็ได้ บรรยายในสถาบันการศึกษา เรียนภาษาสเปน อ่านหนังสือ ดูหนัง ที่สำคัญ คือ ลดน้ำหนัก หัดขี่จักรยาน และเรียนว่ายน้ำ !!!เป็นต้น
สำหรับข้อเขียนชิ้นสุดท้ายถึงพรรคก้าวไกลที่จะทยอยเผยแพร่ใน 2-3 วันนี้ มีอยู่ 2 ตอน ตอนแรก สิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องเผชิญในระยะเวลาอันใกล้ ตอนที่สอง ข้อคิดถึง สส.และคณะนำพรรคก้าวไกล ขอให้คิดเสียว่า ความเห็นของผม ก็เหมือนเอสเปรสโซ่ 2 ช็อตหลังตื่นนอน รสอาจขมเข้มบ้าง แต่มันอาจช่วยให้ตื่นได้ แต่ถ้าอ่านแล้ว ทำให้หงุดหงิดโมโห ก็ขอให้ข้ามผ่านไปครับ
"ผมยืนยันว่า ผมยังมีความหวังว่าประเทศไทยของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ และพรรคก้าวไกลจะเป็น “ยานพาหนะ” สำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แต่ทว่า… การมีความหวัง ก็คนละเรื่องกันกับการหมดเวลาหมดรอบของเรา วันนี้ ตอนนี้ หมดเวลาของผมแล้ว ถึงคราวของคนอื่นๆ แล้ว และไปข้างหน้าจนกว่าเราจะพบกันอีก" นายปิยบุตร ระบุ
อ่านโพสต์ของนายปิยบุตร คลิกที่นี่
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์