'อุตตม' แนะรัฐบาลหยุดนโยบายเกษตรเหวี่ยงแห ชี้ทางแก้ความเหลื่อมล้ำ 7 มิติ

'อุตตม' แนะรัฐบาลหยุดนโยบายเกษตรเหวี่ยงแห ชี้ทางแก้ความเหลื่อมล้ำ 7 มิติ

"อุตตม"ชี้ ใช้นโยบายแบบเหวี่ยงแหแก้ปัญหาเกษตรกรไม่สำเร็จ ต้องเริ่มต้นที่โจทย์ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ด้วยการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ผ่าน 7 มิติ

นายอุตตม สาวนายน อดีตรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ดร.อุตตม สาวนายน ระบุว่า นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ก.ย.66 ที่ผ่านมา เนื้อหาครอบคลุมการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ควบคู่กับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม รวมถึงนโยบายด้านอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้คงจำเป็นต้องใช้ทั้งความสามารถ และความทุ่มเทอย่างสูง เนื่องจากสถานการณ์แวดล้อมทั้งภายใน ภายนอกประเทศยังเต็มไปด้วยความท้าทาย และไม่แน่นอน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

มูดี้ส์ (Moody’s Investor Service) ได้ออกรายงาน Credit Opinion ล่าสุดจัดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยอยู่ที่ Baa1 ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ (stable outlook)

แต่ที่น่าสนใจคือ มูดี้ส์มีมุมมองสำหรับอนาคตประเทศไทยว่า มีโอกาสจะได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ ประเทศไทยจะต้องสามารถบริหารจัดการความท้าทาย และวางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตเข้มแข็งในระยะยาวให้สำเร็จ มิฉะนั้นก็อาจเกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพ และอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศต่อไป

โดยมูดี้ส์ชี้ว่าโจทย์ใหญ่ของไทยที่ต้องเผชิญประกอบไปด้วย

1. การเข้าสู่สังคมสูงวัย และแรงงานขาดทักษะในการทำงาน กระทบกับผลิตภาพ เป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

2. ภาระทางการคลัง จากหนี้ภาครัฐจะยังสูงขึ้นอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังมีการบริหารการคลังแบบขาดดุลในระดับปานกลางต่อไปอีก 2-3 ปี ข้างหน้า

3. หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

4. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งน้ำท่วมและภัยแล้ง

5. ความยากจน และความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรัง ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ

หากพิจารณาความท้าทาย และความเสี่ยงทั้ง 5 ข้อข้างต้น เรื่องพื้นฐานที่เราควรดำเนินการคือ รักษาสมดุลระหว่างการบริหารงบประมาณ และการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน พร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถของประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจมีความมั่งคั่งในภาวะแวดล้อมปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต

สำหรับโจทย์ใหญ่ที่มูดี้ส์ยกขึ้นมานั้น วันนี้ผมขอพูดถึงปัญหาเรื้อรังของประเทศที่บั่นทอนกำลังในการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคที่มีผลกระทบเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงยิ่ง ได้แก่ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทั้งด้านความมั่งคั่ง โอกาส และอื่นๆ ที่ฝังอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

หากจะเริ่มแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผมเห็นว่ามีความจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งคือ กลุ่มเกษตรกร โดยการแก้ไขปัญหา และพัฒนายกระดับเกษตรกร ไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยนโยบายแบบเหวี่ยงแห เพราะภาคเกษตรมีความหลากหลายทั้งในเชิงกิจกรรม และอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ จึงต้องใช้นโยบายที่นำไปสู่การขับเคลื่อนมาตรการในทุกมิติอย่างสอดคล้องกัน และต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนแท้จริงในทุกด้านของชีวิตเกษตรกร และสร้างอนาคตที่ก้าวหน้าของคนรุ่นใหม่ในชุมชนไปพร้อมกัน ซึ่งนโยบายดังกล่าวอยู่ภายใต้แนวคิด “พัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน”

โดยการดำเนินงานจะต้องทำในทุกมิติพร้อมๆ กัน ดังนี้

1.ปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกร การแก้ไขหนี้ของเกษตรกรต้องเป็นวาระแห่งชาติ โดยพักหนี้ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย ในระยะเวลาที่เหมาะสม และที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้การพักหนี้นำไปสู่ปัญหาอีกในอนาคต จะต้องมีการเติมทุนใหม่ พร้อมเติมทักษะ และเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการพัฒนาผลิตภาพการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ และเป็นทุนสร้างอาชีพเสริมที่สอดคล้องกับความต้องการ และศักยภาพที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่

2. ลดต้นทุนการผลิต มีมาตรการช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรอย่างครบวงจร อาทิ เมล็ดพันธ์ุ ปุ๋ย เครื่องจักร และอุปกรณ์การเกษตร รวมถึงการติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของเกษตรกร

3. เพิ่มรายได้ ออกมาตรการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร โดยใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ของประเทศไทย และนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ (AgriTech) มาใช้เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรม BCG

4. ลดความเสี่ยง สนับสนุนให้เกษตรกรทำประกันภัยภาคเกษตร และสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรให้มีความมั่นคง พร้อมทั้งจัดโซนนิ่งการทำเกษตรในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเหมาะสมกับพืชที่กำหนด

5. แก้ปัญหาน้ำท่วม และภัยแล้ง เร่งสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ เพิ่มพื้นที่ชลประทาน การปรับปรุงเส้นทางระบายน้ำ โดยมีการจัดทำผังน้ำเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีระบบ

6. สิทธิในที่ดินทำกิน เร่งจัดสรรที่ดินทำกิน และกระจายสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐแก่เกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกิน เร่งรัดออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทุกประเภท พร้อมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินทับซ้อนระหว่างเกษตรกรและรัฐ

7. ปฏิรูปกฎหมายให้เอื้อต่อการทำเกษตรกรรม แก้ไขกฎหมาย และกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกร เพื่อเปิดโอกาสในการหาช่องทางเพิ่มรายได้

รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งการขับเคลื่อนแผนงาน และมาตรการใน 7 มิตินี้อย่างสอดคล้องกัน โดยชุดมาตรการที่นำมาใช้ควรมุ่งเน้นพัฒนา 3 เสาหลัก ของชุมชนทั้งในระดับตำบล จังหวัด และภูมิภาค อย่างเชื่อมโยง และเกื้อหนุนระหว่างกัน ได้แก่ ภาคการเกษตร การผลิตสินค้าและบริการ และการท่องเที่ยว ให้เข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ เพื่อยกระดับการเกษตร การผลิต และการท่องเที่ยวของแต่ละชุมชนได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งนี้เครื่องมือสำคัญยิ่งคือ เทคโนโลยีดิจิทัล ที่สามารถนำมาใช้ในหลากหลายด้านของ 3 เสาหลัก เพื่อเร่งการพัฒนายกระดับทักษะและผลิตภาพ สะสมองค์ความรู้ข้อมูล ที่จะนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ แก้ปัญหาต่างๆ ในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ คนรุ่นใหม่ก็จะไม่ต้องทิ้งชุมชนไปหางานในเมืองเหมือนเช่นที่ผ่านมา และในภาพรวมจะเป็นการแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการกระจุกตัวของความมั่งคั่ง ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งตอบโจทย์การเพิ่มขีดความสามารถของคนไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์