ร้อง กกต.สอบ 'สุทิน-ไชยา' พิรุธถือหุ้นผ่านภรรยา ชงศาล รธน.ฟันพ้นเก้าอี้
'เรืองไกร' ลุยร้อง กกต.สอบ 2 รัฐมนตรี 'สุทิน-ไชยา' พบพิรุธอาจมีการถือครองหุ้นผ่าน 'คู่สมรส' เข้าข่ายผิด ม.187 หรือไม่ ชงศาล รธน.ฟันพ้นตำแหน่ง เผยยังมีอีกเพียบ เตรียมรวบรวมข้อมูลเพิ่ม เอาผิดยกเข่ง
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบรัฐมนตรี 2 คนของพรรคเพื่อไทย (พท.) คือ นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม เนื่องจากตรวจสอบพบความผิดปกติในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยพบว่าอาจมีการครอบครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดเกิน 5% ตามที่กฎหมายกำหนด เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามเป็นผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวกำหนดครอบคลุมไปถึงคู่สมรส ด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า ส่วนนายไชยาได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีรับตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 ซึ่งแจ้งข้อมูลที่ค่อนข้างแปลก เพราะวันที่ 16 กันยายน 2566 ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าปรากฏชื่อ นางอัญชลี พรหมา คู่สมรส เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ศรีบุญเรืองวัฒนา ได้รับชำระเงินลงหุ้น เป็นเงิน 400,000 บาท ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อของ น.ส.อธิษฐาน พรหมา ซึ่งเป็นลูกสาว เพื่อชำระเป็นเงินลงหุ้น โดยแจ้งว่าเป็นการเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีบุญเรืองวัฒนา สรุปเป็นการชำระเป็นเงินสดลงหุ้น 400,000 บาทไว้ โดยไปเอามูลค่าของห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมกำไรสะสม ซึ่งควรจะเป็นของห้างมารวมยื่นเป็นของตัวเอง ทั้งๆ ควรเป็นของ หจก.
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรตรวจสอบว่าช่วงระหว่างวันที่ 1-16 กันยายน ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเข้าข่ายความผิดมาตรา 187 รัฐมนตรีต้องไม่คงไว้ซึ่งหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จำกัด เกิน 5% ตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วน และหุ้นของรัฐมนตรี 2543 ดังนั้น กรณีนายไชยาเป็นหลักฐานที่ภรรยาท่านเซ็นเองและแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงมีข้อสังเกตว่าทำไมยังเป็นหุ้นส่วนอยู่ ทั้งที่ความเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการควรมาจากคนที่เป็นหุ้นส่วน ถ้าโอนให้ลูกสาวแล้วก็ควรเป็นลูกสาวที่เป็นคนเซ็นเอกสารนั้น
“เรื่องนี้นายไชยาก็ต้องชี้แจงว่าจาก 400,000 บาท เป็น 4 ล้านบาท ซึ่งถ้ายังคงถือหุ้นอยู่ ไม่ได้ฝากโอนหุ้น เป็นเรื่องที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริง โดย กกต.ไปหาข้อเท็จจริงว่านายไชยาได้โอนหุ้นตามเงื่อนไข พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนหรือไม่ ซึ่งต้องแจ้ง ป.ป.ช.ใน 30 วัน” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร ถึงการยื่นบัญชีของนายสุทิน พบว่ามีการยื่นบัญชีที่แปลกเช่นกัน โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่เข้ารับตำแหน่ง ยื่นว่าคู่สมรสมีเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัด คลังแสงอีสาน 1.5 ล้านบาท แล้วพบว่ามีเศษสตางค์ด้วย แต่เมื่อย้อนไปดูเมื่อเดือน 20 มีนาคม 2566 พบว่า ลงไว้ 1 ล้านบาท แล้ว 5 แสนบาทเพิ่มมาจากที่ไหน จากการตรวจสอบงบกำไร ขาดทุนปี 2565 พบว่า 1.5 ล้านบาท เป็นยอดรวมของหุ้นส่วนกับหนี้สินถือว่าผิด แต่ ป.ป.ช.ตรวจสอบกลับไปเอะใจอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่าภรรยานายสุทินถือว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการยังถือหุ้นอยู่ ซึ่งต่างจากของนายไชยาที่เปลี่ยนไปเป็นชื่อของลูกสาวแล้ว แต่ของนายสุทินยังเป็นชื่อของภรรยาอยู่และถือในระยะเวลาเกิน 2 เดือน ถือว่าเกิน 30 วันตามกฎหมาย
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ดังนั้น เป็นเหตุให้มีการตรวจสอบโดยเร็วว่า ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 นายสุทินยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด คลังแสงอีสาน 1 ล้านบาท ในนามคู่สมรสเกิน 5% หรือไม่ ซึ่งหากพบว่ายังมีการคงไว้จะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสุทินสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
“ขอให้ กกต.นำ พ.ร.บ.ห้างจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 มาประกอบการพิจารณาด้วย หาก กกต.เห็นว่ารัฐมนตรีทั้ง 2 คน มีเหตุเข้าข่ายจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ขอให้รีบส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป และขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนด้วย นอกจากนี้ ยังมีการรวบรวมข้อมูลของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองอีกจำนวนมากที่พบว่ามีข้อน่าสังเกต ซึ่งหลังจากนี้จะมีการยื่นให้ตรวสอบยกเข่งเลย" นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า ขอติงผ่านสื่อถึงการทำงานของ ป.ป.ช.ด้วยว่าในการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่างๆ ซึ่งจ้างงานผู้รับเหมากลับพบว่าการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเอกสารที่สแกนเพื่อเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ ป.ป.ช.กลับหัวกลับหาง ไม่ครบถ้วน ถ่ายเอียงไปเอียงมา แสดงว่าคุณภาพการจ้างงานใช้ไม่ได้ จึงฝากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบเรื่องการใช้งบประมาณในการจ้างงานของ ป.ป.ช.ด้วย