'มงคลกิตติ์ ' หิ้วส้มตำ-ไก่ย่าง ขอเยี่ยม 'ทักษิณ' แต่ไม่ได้รับอนุญาต
"มงคลกิตติ์" หิ้วส้มตำไก่ย่าง อ้างเป็นตัวแทนหมู่บ้านขอเยี่ยม "ทักษิณ"ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยเชื่อว่า มีทั้งคนเป็นห่วง และคนตั้งคำถามเรื่องความเท่าเทียม แนะ พท.อย่าหนุนเลือกปฏิบัติ ส่งผลต่อศรัทธาประชาชน
7 พ.ย.2566 ที่ โรงพยาบาลตำรวจ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.พรรคไทยศรีวิไลย์ ขออาสาเป็นตัวแทน นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ และ นายสิระ เจนจาคะ อดีตสส.พรรคพลังประชารัฐ นำส้มตำไก่ย่าง จากร้านครัวเรือนไทย ของนายสิระ เดินทางมาที่โรงพยาบาลตำรวจ ขอเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ต้องขังเด็ดขาดในคดีทุจริตที่เกิดขึ้นในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ทางเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมหรือนำอาหารไปฝากให้กับนายทักษิณ เพราะไม่ได้อยู่ใน 10 รายชื่อ ที่ให้เยี่ยมได้ และขัดต่อระเบียบ-ขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ รวมท้้งจะกระทบกับเรื่องสิทธิส่วนบุคคล เนื่องจากเป็นพื้นที่โรงพยาบาล
นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า ตั้งใจจะมาทั้ง 3 คน แต่เนื่องจากนางสาวปวีณา มีอาการไม่สบายเป็นไข้เล็กน้อย ส่วนนายสิระติดธุระ และเพิ่งเปิดร้านส้มตำไก่ย่างชื่อร้านครัวเรือนไทย แต่ก็ได้ส่งส้มตำไก่ย่างจากร้านมาเยี่ยมแทน
โดยเชื่อว่า สามารถนำอาหารมาเยี่ยมได้เหมือนผู้ต้องขังทั่วไป ตามระเบียบของทางกรมราชทัณฑ์ ส่วนทางนางสาวปารีณา ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าพรรคไทยรักไทย ก็ฝากความระลึกถึงมา และสอบถามเรื่องสุขภาพ เนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่ได้มีการชี้แจงใดๆ
พร้อมเชื่อว่า ประชาชนก็ต้องการทราบคืบหน้าว่านายทักษิณมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับนายทักษิณจะให้เข้าพบด้วยหรือไม่ ไม่ใช่เฉพาะแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจอนุญาตเท่านั้น
ดังนั้นการมาเยี่ยมครั้งนี้จึงขอเป็นตัวแทนหมู่บ้านก่อน เพราะมีทั้งคนที่เป็นห่วงนายทักษิณและคนที่สงสัยในกระบวนการยุติธรรมของไทยว่ามีความเท่าเทียมกันหรือไม่
นายมงคลกิตติ์ ระบุว่า แม้จะไม่ได้เข้าเยี่ยม และนำอาหารให้กับนายทักษิณได้ แต่หลังจากนี้จะไปทำเรื่องที่กรมราชทัณฑ์ เพื่อเสนอขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณตามระเบียบขั้นตอน โดยอีก 1-2 วันนี้ก็จะเข้าไปที่จะเข้าไปติดต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯอีกครั้ง ทั้งนี้ต้องให้นายทักษิณและครอบครัวอนุญาตด้วย
โดยเชื่อว่า มีหลายคนอยากมาเยี่ยมนายทักษิณ ทั้งรัฐมนตรีและสส. ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็อาจจะไม่ชอบก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการเห็นระบบยุติธรรมที่เท่าเทียมกันไม่เลือกปฏิบัติ
โดยเชื่อว่า ถ้าไม่เลือกปฏิบัติ จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของพรรคเพื่อไทยจะราบรื่น แต่ถ้าเลือกปฏิบัติก็จะทำให้ศรัทธาของประชาชนลดน้อยลง บวกกับการบริหารราชการแผ่นดินของนายเศรษฐา ที่ยังเป็นมือสมัครเล่น ไม่ชำนาญด้านเศรษฐกิจ