ผบ.ตร.ย้ำฟันไม่เลี้ยงถ้าเจอ ตร.เอี่ยวส่วยรถบรรทุก ‘สุรเชษฐ์’ ลุยสางปัญหา
ผบ.ตร.ขออย่าเพิ่งกล่าวหาตำรวจรับส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก รอตรวจสอบก่อน ลั่นถ้าเจอว่าทำผิดจริง ฟันไม่เลี้ยง ย้ำ ตร.ทุกนายไปแล้วห้ามยุ่งเรื่องผิดกฎหมาย ส่วน ‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ลุยสางปัญหา จะทำให้เป็นคดีตัวอย่าง แจ้งข้อหาคนขับแล้ว ลุยถกผู้ว่าฯ กทม.สางปัญหา 10 พ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีรถบรรทุกดินตกบ่อการไฟฟ้าบริเวณถนนสุขุมวิท 64/1 จนถนนพังเสียหาย และสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่สัญจรไปมาเป็นวงกว้าง ต่อมามีการพบว่ารถบรรทุกคันดังกล่าวมีสติกเกอร์รูปดาวสีเขียว อักษร B ติดอยู่ที่กระจกหน้ารถ จนมีการตั้งข้อสงสัยว่ารถดังกล่าวเกี่ยวข้องกับส่วยสติกเกอร์ตามที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาแฉว่ามีหน่วยงานรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ดังกล่าว แลกกับการให้รถบรรทุกเหล่านี้สามารถวิ่งนอกเวลาที่กฎหมายกำหนด และบรรทุกน้ำหนักเกินได้หรือไม่
ผบ.ตร.ขออย่าเพิ่งกล่าวหาตำรวจรับส่วยสติกเกอร์ รอตรวจสอบก่อน
โดยที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ถึงประเด็นดังกล่าว จะสั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงประเด็นนี้อย่างไร ว่า เรื่องนี้มีกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ที่กำกับดูแลรับผิดชอบ และมีหน้าที่ตรวจสอบประเด็นดังกล่าวแล้วว่า สติกเกอร์ที่ปรากฎที่บริเวณหน้ารถบรรทุก เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาว่าตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ใดหรือไม่ ตนไม่จำเป็นต้องสั่งการ เพราะมีการแบ่งหน้าที่กันแล้ว ทุกคนรู้หน้าที่ แต่การกล่าวหาว่าสติกเกอร์ดังกล่าว เป็นส่วยสติกเกอร์ ที่สังคมเรียกกันนั้น ควรจะมีหลักฐาน หากกล่าวหาโดยเลื่อนลอย แม้จะเป็นการข้อสังเกตของสังคม แต่ก็ทำให้องค์กรตำรวจหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวยืนยันว่า หากตรวจสอบพบว่าสติกเกอร์ดังกล่าวเป็นส่วยสติกเกอร์เรียกรับผลประโยชน์ของตำรวจจริง ในฐานะ ผบ.ตร.จะดำเนินการตามขั้นตอน ทั้งทางอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาด ไม่เอาไว้ แต่ปัจจุบันเรื่องดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่ได้มีการสั่งการประเด็นใดเป็นพิเศษ ยืนยันที่ผ่านมาเน้นย้ำข้าราชการตำรวจมาโดยตลอดว่า จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
‘บิ๊กโจ๊ก’ ลั่นจะทำให้เป็นคดีตัวอย่าง
วันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางมาที่ สน.พระโขนง ติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว โดยให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมกับคณะทำงานว่า ต้องมาดูสำนวนการสอบสวนคดีนี้โดยจะทำเป็นคดีตัวอย่างว่า ถ้ารถบรรทุกน้ำหนักเกิน จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างจริงจัง ตัวรถก็จะถูกศาลยึดไว้ ไม่สามารถเอาไปใช้ประกอบอาชีพได้ และต้องไล่ดูไปถึงตัวเจ้าของรถว่าเป็นใคร รู้เห็นเป็นใจหรือไม่ในการบรรทุกน้ำหนักเกิน ถ้ารู้เห็นเป็นใจ ต้องถูกดำเนินคดีด้วย ตามกฎหมาย รถลักษณะเดียวกันกับคันที่เกิดเหตุต้องบรรทุกไม่เกิน 25 ตัน แต่กรณีที่เกิดขึ้น ชัดเจนว่าบรรทุกเกิน จนทำให้ถนนทรุดตัวลงไป ส่วนกรณีที่ผู้ประกอบการมาตักดินออกและนำกลับไปเทที่ไซต์งานโดยที่ยังไม่ได้ชั่งนั้น ก็ต้องดูว่า รู้อยู่แล้วหรือไม่ว่าบรรทุกเกิน แล้วรู้เห็นเป็นใจจะมาตักออก ถ้ารู้ก็มีความผิด ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า นอกจากสำนวนคดีนี้ สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนทันทีคือการแก้ไขปัญหา ปัจจุบันในพื้นที่ กทม. มีปัญหาหลัก 2 เรื่อง คือ รถบรรทุกน้ำหนักเกิน กับวิ่งนอกเหนือจากเวลาที่กฎหมายกำหนด ตนสั่งการให้มีการตรวจสอบทั้งหมด เริ่มทันทีตั้งแต่วันนี้ ทุกเขตทั่ว กทม. รถบรรทุกที่จะวิ่งเข้าพื้นที่ กทม. ต้องผ่านการชั่งน้ำหนัก และรถบรรทุกที่วิ่งในพื้นที่ กทม.เอง ก็จะต้องถูกชั่งน้ำหนักทันทีที่ขับออกจากไซต์งานก่อสร้างด้วย ปัญหาคือโรงพักในพื้นที่นครบาล ไม่ได้มีตาชั่งเหมือนกับโรงพักต่างจังหวัด จึงได้ประสานกับกรมทางหลวง ให้นำตาชั่งออกมาช่วยดำเนินการร่วมกันกับตำรวจ โดยจะต้องวางแผนการทำงานร่วมกัน และจะเชิญผู้ประกอบการทั้งหมดมาพูดคุยว่าการบรรทุกน้ำหนักต้องไม่เกิน
ส่วนประเด็นเรื่องส่วยสติกเกอร์เฉพาะกิจ ตามที่มีการออกมาเปิดเผยกันนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีจริงหรือไม่ หากพบใครที่ละเมิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าหน้าที่เอง ก็ต้องถูกดำเนินคดี เบื้องต้นยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียดกับผู้กำกับการ สน.พระโขนง แต่ได้ตรวจสอบสถิติการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินใน กทม.ย้อนหลังไป พบว่าไม่มีการจับกุมเลย จับเพียงแค่สิ่งของตกหล่นเท่านั้น สิ่งที่สร้างผลกระทบกับประชาชนมากกว่าคือการบรรทุกน้ำหนักเกิน ตนจะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้ไม่มีสถิติการจับกุมเลย
- แจ้งข้อหาคนขับฐานขับโดยประมาท จ่อแจ้งบรรทุกน้ำหนักเกินด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น.วันเดียวกัน ที่ สน.พระโขนง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมกับคณะทำงาน เกี่ยวกับกรณีนี้ว่า วันนี้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับคนขับรถ ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ส่วนเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ในส่วนนี้จะแจ้งข้อกล่าวหาแน่นอน แต่จะต้องชั่งน้ำหนักก่อน โดยตาชั่งจะมาถึง สน.พระโขนงในเวลา 14.00 น. ขณะเดียวกันยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาในเรื่องของการตักดินออกไป ส่อเป็นการทำลายหลักฐาน เพราะล่าสุดได้นำดินกลับมาไว้ยังรถบรรทุกคันเกิดเหตุแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องตักดินออกไป เนื่องจากน้ำหนักที่มากเกินไปทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายรถบรรทุกได้ เชื่อว่าน้ำหนักของรถบรรทุกนั้นเกินแน่นอน เพียงแต่ว่าเกินไปเท่าไหร่ ส่วนสภาพดินที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วอาจก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้นั้น หากชั่งแล้วเกิน 25 ตัน ถือว่ามีความผิด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เรื่องคดีไม่ได้มีความซับซ้อน แต่ต้องทำสำนวนให้เร็ว และรอง ผกก.สืบสวน ต้องไปสืบว่าเจ้าของรถบรรทุกทราบหรือไม่ ว่ารถบรรทุกนั้นน้ำหนักเกิน หากรู้เรื่องก็ต้องถูกดำเนินคดีต่อไป ส่วนความเสียหายในทางแพ่งต้องนัดผู้เสียหายทั้งเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหายและผู้บาดเจ็บ เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่ในพื้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เบื้องต้นตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้ว หากพนักงานสอบสวนตรวจสอบว่าผิดในข้อหาอะไรบ้าง และจะเรียกหน่วยงานที่เป็นเจ้าของพ.ร.บ.นั้นมาแจ้งข้อกล่าวหา รวมถึง กทม.ด้วยเช่นกัน
สั่งสืบต่อสติกเกอร์ตัว B เอี่ยวส่วยหรือไม่
ส่วนประเด็นเรื่องสติกเกอร์ภาษาอังกฤษรูปตัว B นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เจ้าของรถบรรทุกรายนี้ มีรถประมาณ 5-6 คัน เจ้าของรถอ้างว่าสติกเกอร์ดังกล่าวนั้น ใช้ในการผ่านเข้าออกไซต์งาน แต่ได้สั่งให้รอง ผกก.สืบสวนไปสืบสวนต่อว่าสติกเกอร์ดังกล่าวเป็นสติกเกอร์ส่วยหรือไม่ และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง
“ในส่วนนี้ลงมาดูด้วยตัวเองขอให้สบายใจ และได้มีการนัดประชุมในเวลา 14.00 น. จะให้ตรวจสอบทั้งหมด พร้อมกันนี้จะขอข้อมูลจากทางประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน เพื่อตรวจสอบให้ประชาชนได้คลายความสงสัย อย่างไรก็ตาม ผมไม่มีอำนาจในการไปตรวจสอบเรื่องส่วยสติกเกอร์ ต้องรอให้ ผบ.ตร.มอบอำนาจต่อไป” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
ลุยถกผู้ว่าฯ กทม.สางปัญหา 10 พ.ย.นี้
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า สำหรับเส้นทางของรถบรรทุกคันดังกล่าวนั้นพบว่า จะขนดินไปยัง ซ.รามอินทรา 19 เป็นจุดก่อสร้าง และหากคนขับรถบรรทุกให้การเท็จก็จะมีการแจ้งข้อหาต่อไป มองว่ารถบรรทุกไม่ใช่ไม้จิ้มฟัน สามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก ก่อนหน้านี้รถบรรทุกของบริษัทดังกล่าวยังไม่เคยได้รับแจ้งว่ากระทำความผิด ส่วนเรื่องแผนการจะนำตาชั่งไปตรวจตามไซต์นั้น เบื้องต้นได้มีการนัดพูดคุยกับอธิบดีกรมทางหลวงและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ในวันพรุ่งนี้ (10 พ.ย.) คาดว่าใช้เวลาไม่นาน และบังคับใช้ภายในสัปดาห์หน้า