‘สมศักดิ์’ ขันน๊อต ‘ป.ป.ท’ สกัดโกง ตั้งเป้าไทย ติด1ใน20 ดัชนีรับรู้การทุจริต
“สมศักดิ์” เปิดสัมมนา ”ป.ป.ท.“ ขันน๊อต เพิ่มคะแนนดัชนีรับรู้การทุจริต ชี้ รูปแบบการโกงซับซ้อนขึ้น กระจายตัวทุกระดับ ย้ำ ต้องป้องกันให้ดี สร้างความโปร่งใส ต้องเดินตามแผนยุทธศาสตร์ เน้น สกัดทุจริตเชิงนโยบาย ตั้งเป้า ไทยติด 1ใน20
ที่อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดโครงการขับเคลื่อนค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ (กิจกรรมการสัมมนาเพื่อขับเคลื่อนการประเมินความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในการดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567) ครั้งที่ 1 โดยมี นายกิตติกร โลห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กว่า 400 คน เข้าร่วม
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การทุจริตในภาครัฐเป็นปัญหาที่บั่นทอนเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก รวมถึงรูปแบบการทุจริตมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และกระจายตัวอยู่ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับนโยบาย สู่การปฏิบัติ โดยการทุจริตที่ขยายตัว และสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติเป็นอย่างมากคือ การทุจริตเชิงนโยบาย ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐ จึงต้องมีการป้องกันที่ดี เพื่อสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน และลดความสูญเสียงบประมาณของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องเดินหน้าแผนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ฉบับปรับปรุง) เพื่อเน้นมาตรการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย ในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ โดยทำการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริต และหามาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการทุจริต มาใช้ในการริเริ่มและดำเนินโครงการที่มีวงเงินสูง
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า รวมถึงการขับเคลื่อน แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อมุ่งเน้นให้ภาครัฐ มีความโปรงใส ปลอดการทุจริต โดยมีตัวชี้วัดสำคัญ คือ ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย จะต้องอยู่อันดับ 1 ใน 20 หรือ มีคะแนนประมาณ 73 คะแนน ภายในช่วงปี 2576-2580
นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ ที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน ทำให้ปัจจุบันมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยการตราพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อกำหนดเกณฑ์มาตรฐานกลางสำหรับหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง นำไปใช้ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง โดยต้องคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้ เช่น ให้มีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
“การประเมินความเสี่ยงการทุจริต จึงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐ ต้องดำเนินการ เพื่อหามาตรการในการป้องกันการทุจริต และฏิบัติตามมาตรการควบคุมที่เหมาะสม โดย สำนักงาน ป.ป.ท. ในฐานะที่เป็นกลไกของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต จึงเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันและขับเคลื่อนให้หน่วยงานภาครัฐ ต้องทำการประเมินความเสี่ยงการทุจริต เพื่อหามาตรการมาอุดช่องว่าง ที่จะเกิดการทุจริต พร้อมมีหน่วยงานตรวจสอบการดำเนินการว่า เป็นไปตามแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริตที่กำหนดไว้หรือไม่ เพื่อลดและปิดโอกาสการทุจริตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งผมขอให้ทุกคน ร่วมแรงร่วมใจขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ของประเทศไทยให้สูงขึ้น” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย อยู่ลำดับที่ 101 จากทั่วโลก โดยมี 36 คะแนน แต่ ป.ป.ท.ได้ตั้งเป้ามากกว่าเดิม 1 เท่า ดังนั้น เราจะทำอย่างไร ให้อยู่ลำดับ 1 ใน 20 ซึ่งตนเห็นความพยายามของ ป.ป.ท. ที่กำลังผลักดันกฎหมาย เพื่อช่วยการป้องกันการทุจริต โดยรัฐบาลเห็นด้วยกับแนวทางนี้ เพราะการแก้ปัญหาดีที่สุด คือ การป้องปราม และให้ความรู้ ซึ่งอย่ารอให้เกิดการทุจริตแล้วค่อยเข้าไปดำเนินการ โดยตนต้องขอแสดงความยินดีกับ ป.ป.ท. ที่ร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่รัฐบาลเสนอเข้าสู่การพิจารณาในวาระแรกของสภาฯ ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า เรื่องค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย ตนได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งทำให้คะแนนของเราดีขึ้น เพราะขณะนี้ อยู่ลำดับที่ 101 จากทั่วโลก โดยมี 36 คะแนน ดังนั้น ป.ป.ท. จึงจัดกิจกรรมในวันนี้ เพื่อให้ทุกฝ่าย ร่วมกันเดินหน้าแนวทางการป้องกันการทุจริต ซึ่งไม่ใช่รอให้เกิดการทุจริต แล้วเข้าดำเนินการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเฝ้าะวังตั้งแต่เริ่มด้วยการป้องปราม โดยตนเชื่อว่า หากป้องกันตั้งแต่เริ่มต้นได้ ตัวเลขคะแนนของเราก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน