เริ่มแล้วถกงบฯ67 'เศรษฐา' นำ ครม.ร่วมประชุม โอ่เป็นจุดเริ่มให้ประเทศเติบโต
"เศรษฐา" นำทีม ครม. ร่วมประชุมสภาฯ ถกงบฯ67 วันแรก พร้อมแถลงหลักการตั้งงบ67 แบบขาดดุล แต่เชื่อจะเก็บรายได้ทะลุ 11% เพิ่มงบลงทุนกว่า 7แสนล้าน โอ่คือจุดเริ่มสร้างการเติบโตให้ประเทศ
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น. การประชุมสภาฯ เพื่อเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก เป็นวันแรกได้เริ่มขึ้น โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเริ่มพิจารณา ตัวแทนวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน ยืนยันจะทำงานเพื่อให้การประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ คือ 43 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน จำนวน 20 ชั่วโมง, ฝ่ายรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (ครม.) จำนวน 20 ชั่วโมงและประธานในที่ประชุม 3 ชั่วโมง
สำหรับบรรยากาศก่อนเริ่มประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง สวมสูทผูกเนกไทสีเหลือง นำทีมรัฐมนตรีเข้าประจำที่ในห้องประชุมสภาฯ อย่างพร้อมเพรียง เช่นเดียวกับ สส.รัฐบาลและ สส.ฝ่ายค้าน ที่พบว่ามาลงชื่อเพื่อร่วมประชุม กว่า400 คนจากจำนวนสส.ที่มีทั้งสิ้น 499 คน
จากนั้นนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง แถลงถึงหลักการและเหตุผลร่างพ.ร.บ.งบฯ67 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ต่อสภาฯ ว่า ร่างพ.ร.บ.งบฯ เป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนนโยบายตามที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาา รวมถึงเป็นไปตามแผนพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยเรื่องเศรฐกิจเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญลำดับต้นๆ โดยจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น รวมถึงแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ในระบบ การลดราคาพลังงาน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายประชาชนลดลง และเพิ่มขีดการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม นอกจากนั้นจะมีเรื่องด้านสังคม ความมั่นคง ผ่านการพัฒนากองทัพ และความมั่นคงให้ทันสมัยใกล้ชิดประชาชน ใช้การเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ ขณะที่ในด้านการเมืองการปกครอง ประชาชนจะได้เห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แก้ไขจุดด้อย บนหลักการที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด รวมถึงไม่นำไปสู่ควาขัดแย้งใหม่ในสังคม
นายเศรษฐา แถลงด้วยว่า สำหรับการประเมินทิศทางเศรษฐกิจ 67ของสภาพัฒนฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.7-3.7% แต่มีปัจจัยเสี่ยงทั้งภาวะหนี้สินครัวเรือน ภาคธุรกิจ ปัญหาภัยแล้ง และความขัดแย้งโลก ซึ่งอัตราเงินเฟ้อจะอยูในช่วง 1.7 - 2.7% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.5% ทั้งนี้ในภาวเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลต้องทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษี การขายสินค้า บริการ รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวม 2.9 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.4% จากปี66 หักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 125,800 ล้านบาท ทำให้คงเหลือเป็นรายได้สุทธิ ที่จัดสรรเป็นรายจ่ายรัฐบาล จำนวน 2.7 ล้านล้านบาท
“โดยสรุปงบฯ ปี67 ที่ประมาณรายจ่าย 3.48 ล้านล้านบาท คาดว่ามีรายได้จากการจัดเก็บได้ 2.787ล้านล้านบาท และเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 6.93แสนล้านบาท แม้การจัดสรรงบปี67 จะจัดแบบขาดดุล แต่รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้น 11.9% ทำให้มีงบลงทุนกว่า 7.17แสนล้านบาท และสามารถชดใช้เงินคงคลังและชำระคืนต้นเงินกู้ได้กว่า 1.18 แสนล้านบาท จะทำเป็นการเตรียมพร้อมทำให้รัฐบาลมีกรอบในการลงทุนในระยะกลางและยาวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568” นายเศรษฐา กล่าว
นายเศรษฐา แถลงด้วยว่าได้จัดสรรงบประมาณที่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคง จัดสรรวงเงิน3.90แสนล้านบาท, ด้านความสามารถในการแข่งขัน จัดสรรวงเงิน 3.93 แสนล้านบาท, การพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ จัดสรรวงเงิน 5.61แสนล้านบาท, การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จัดสรรวงเงิน 8.43หมื่นล้านบาท, สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดสรรวงเงิน 1.31 แสนล้านบาท, การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ จัดสรรวงเงิน 604,804 ล้านบาท เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ อาทิ กองทัพ คมนาคม รัฐบาลดิจิทัล รวมถึงยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนการให้บริการ เพิ่มขีดสามารถการแข่งขันและแก้ปัญหา เช่น ยาเสพติด ความปรองดอง เป็นต้น
นายกฯและรมว.คลัง แถลงด้วยว่าสำหรับตัวเลขหนี้สาธารณะคงค้าง เมื่อ 31 ต.ค.2566 มีจำนวน 11ล้านล้านบาท คิดเป็น 62.1% ของจีดีพี ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ที่ 70% โดยหนี้สาธารณะที่เป็นข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมเงิน และการค้ำประกัน จำนวนทั้งสิ้น 10ล้านล้านบาท ขณะที่ฐานะเงินคงคลัง เมื่อ31 ต.ค. 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 2.97แสนล้านบาท ซึ่งในการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ จำนวน 3.46แสนล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ 1.18แสนล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 2.28แสนล้านบาท โดยการบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดจะเป็นจุดเร่ิมต้นการทำนโยบายในระยะสั้นถึงระยะยาว โดยรัฐบาลจะใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป้าหมายบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตประเทศระยะสั้นและระยะยาว และเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ใช้เวลาอ่านคำแถลงหลักการและเหตุผลของร่างพ.ร.บ.งบฯ67 ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที.