'สมชาย' ยก4เหตุ-คำตัดสินศาลรธน.ปมขาดคุณสมบัติเทียบ "พิธา" คาดหลุดสส.
"สว.สมชาย" ใหัความเห็นทางกฎหมาย ยก4เหตุ-คำวินิจฉัยศาลรธน. ปมลักษณะต้องห้ามนักการเมือง เทียบเคส "พิธา" ถือหุ้นไอทีวี คาดจะหลุดจาก "สส."
นายสมชาย แสวงการ สว.โพสต์ความเห็นต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาคดีและวินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นของ สส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ต่อการถือหุ้นไอทีวี โดยระบุว่า ฐานะที่ตนเคยเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวในหลายกรณี ต่างกรรมต่างวาระกันมา
จึงตัดสินใจเขียนความเห็นประกอบข้อกฎหมาย โดยยึดแนวทางคำวิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แนวทางคำพิพากษาศาลฎีกา และมีความเห็นส่วนตัวประกอบรายละเอียด ที่ไม่สามารถชี้นำหรือส่งผลอย่างใดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรนูญ ดังนี้
1.บริษัทไอทีวี เป็นสื่อมวลชน เพราะมีสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีวัตถุประสงค์ จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับสื่อ รวม5 ข้อ เช่น รับบริหารและดำเนินกิจการสถานีวิทยุ โทรทัศน์ โทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกและโทรภาพทางสาย(เคเบิลทีวี) เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ บริการประชาสัมพันธ์และจัดรายการทางวิทยุโทรทัศน์ โทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกและโทรภาพทางสาย (เคเบิลทีวี) แพร่ภาพโทรทัศน์ ผลิตรายการ ประชาสัมพันธ์ รับจ้างผลิตสื่อ ฯลฯ จนถึงปัจจุบันitv ยังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดยกเลิกวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน
"จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมี ลักษณะต้องห้าม สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่14/2562 คดีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในคดีการถือหุ้น บริษัทวีลัคมีเดีย ที่อ้างว่าปิดกิจการแล้ว แต่ไม่จดทะเบียนยกเลิกบริษัท ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ยังสามารถประกอบกิจการสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ไม่ได้จดเลิกบริษัท" นายสมชาย ระบุ
นายสมชาย ระบุด้วยว่า 2.บริษัทไอทีวีชนะคดี ในการต่อสู้ที่ถูกปิดสถานีและถูกยึดคลื่นคืนเพราะไม่ชำระหนี้ค่าสัมปทานแก่รัฐ เมื่อ17ปีก่อน โดยยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ หมายเลขดำที่ 29/2545 โดยอ้างว่ารัฐให้สัมปทานกับบุคคลอื่น เป็นเหตุให้บริษัทฯได้รับผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างรุนแรง จึงขอให้ สำนัดปลัดสำนักนายกฯ (สปน.) ชดเชยความเสียหายตามสัญญาเข้าร่วมงาน โดยคณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ บริษัทไอทีวีชนะและได้รับเงินเยียวยา พร้อมคืนคลื่นความถี่ ซึ่ง ขณะนี้ สปน. ได้สู้คดีและยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ซึ่งขณะนี้ยังรอคำพิพากษาจากศาลปกครอง
"จึงเห็นว่า นายพิธาน่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามเพราะคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและศาลปกครองกลาง ให้ไอทีวีเป็นผู้ชนะคดี ได้รับการเยียวยา และคืนสัมปทานคลื่นความถี่โทรทัศน์จึงอยู่ในฐานะที่พร้อมประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ได้" นายสมชาย ระบุ
นายสมชาย ระบุต่อว่า 3.แม้บริษัทไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูกประกอบกิจการสื่อ และมีรายรับจากบริษัทอาร์ตแวร์มีเดีย ที่ไอทีวีถือหุ้น99% จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม
สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล พ้นจากสส ด้วยเหตุถือหุ้นสื่อสารมวลชน บริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และ บริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด
นายสมชาย ระบุด้วยว่า 4.ข้ออ้างของนาพิธา ที่ระบุว่าถือหุ้นเพียง 42,000 หุ้น จาก 1,206,697,400 หุ้น คิดเป็น 0.0035% ไม่มีอํานาจสั่งการบริษัท ถือเป็นข้อโต้แย้งที่ฟังไม่ขึ้นและไม่อาจหักล้างคำนิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางแนวไว้เดิม ตามคำวิจฉัยที่12-14/2553 ในคดีถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานรัฐ ที่วินิจฉัยให้รัฐมนตรี สส. สว.พ้นจากสมาชิกภาพ และเคยวินิจฉัยไว้ว่า หุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้ามแม้ถือหุ้นเพียง1หุ้น ถือขาดคุณสมบัติ
"ผมพร้อมน้อมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยคดีการถือหุ้นสื่อไอทีวี ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด" นายสมชาย ระบุ.