'ปานปรีย์‘ ปลื้ม ’ไทย-จีน' ลงนาม ยกเว้นวีซ่า เป็นความเชื่อใจกัน
“ไทย-จีน” ลงนาม ยกเว้นวีซ่า เริ่ม 1 มี.ค.นี้ “ปานปรีย์” ระบุ เป็นความไว้เนื้อเชื่อใจกันทุกระดับ เตรียมจัดประชุม รัฐมนตรีปีละครั้ง ด้าน “หวัง อี้” ขอบคุณไทย หนุนหลักการ “จีนเดียว” ย้ำ ต้องเสริมสร้างประชาคม เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาค ตั้งเป้าเดินหน้ารถไฟจีน-ไทย-ลาว
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายหวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลาง ด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ร่วมลงนามในพิธีความตกลงและเอกสารสำคัญ ไทย-จีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ (ยกเว้นวีซ่า) ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยความตกลงดังกล่าว จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป
นายปานปรีย์ กล่าวภายหลังการลงนามว่า มีความยินดีที่ได้ต้อนรับ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงฯ และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตนได้พบปะหารือ นายหวัง อี้ ถึง 2 ครั้ง เป็นโอกาสที่ได้หารืออย่างในละเอียด กว้างขวาง ในประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งเรื่องสำคัญในภูมิภาค
อีกทั้งการประชุมกลไกการหารือ ระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย - จีน ครั้งที่ 1 ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งตามข้อตกลงมีการสลับกันเป็นเจ้าภาพหารือกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยในวันนี้(28 ม.ค.) มีการหารือส่งเสริมความร่วมมือในทุกด้าน
“เรายืนยันจะสนับสนุนซึ่งกันและกันในทุกมิติ ทั้งการเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน ความมั่นคง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน และความร่วมมือในเวทีพหุภาคีในภูมิภาค”
นายปานปรีย์กล่าวต่อ เรายังได้แลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่สำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก และภูมิภาคของเรา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในเมียนมา คาบสมุทรเกาหลี สถานการณ์ในตะวันออกกลาง เป็นต้น และเราเห็นว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีน สำคัญต่อเสถียรภาพและความเจริญในภูมิภาคอย่างยิ่ง จึงจะยึดแนวทางของประชาคมไทย-จีน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนยิ่งขึ้นไป โดยไทยกับจีน ได้ลงนามในเอกสารความสำคัญ ที่สะท้อนความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด อย่างความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2567 เป็นต้นไป ถือว่าความตกลงนี้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-จีน ที่มีมาอย่างยาวนาน
“เราถือว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจได้ทุกระดับ มั่นใจว่าการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน การท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทางฝั่งไทยและจีนได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 จะเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง ที่ไทยกับจีนได้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เพื่อให้ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นในทุกด้าน” นายปานปรีย์ กล่าว
ขณะที่นายหวัง อี้กล่าวว่า ตนยินดีมากที่ได้มาเยือนไทยในช่วงปีใหม่ เราทั้ง 2 ฝ่ายได้เห็นมิตรภาพจีน-ไทย เป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ในปีหน้าเราทั้ง 2 ประเทศจะเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทยนั้น ได้ถือว่าผ่านความท้าทาย มีความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด แต่ก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น
หวังอี้พูดเองนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มแน่
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานถ้อยแถลงของนายหวัง การลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน
“จะทำให้การไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนกับประชาชนไปสู่อีกระดับ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
ทั้งนี้ ก่อนโควิดระบาดนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากที่สุด และเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย เครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในปี 2562 นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทย 40 ล้านคนในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีนกว่า 25% แต่สัดส่วนลดลงในปี 2566 ที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 12.5% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 28 ล้านคน
รัฐบาลไทยตั้งเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ไว้ที่ 35 ล้านคน คาดว่ามาจากจีน 8 ล้านคน
นอกเหนือจากการท่องเที่ยว จีนยังเป็นคู่ค้าและแหล่งการลงทุนใหญ่สุดของไทย สองประเทศเห็นชอบเพิ่มความร่วมมือด้านการขนส่งให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงเร่งโครงการ รถไฟไทย-จีน
นายหวังกล่าวด้วยว่า จีนจะนำเข้าสินค้าเกษตรบางอย่างจากไทยเพิ่มขึ้น และสนับสนุนให้บริษัทจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
สำหรับการยกเว้นการตรวจลงตราของไทย ปีที่แล้วได้ยกเว้นให้นักท่องเที่ยวจากรัสเซีย คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน เป็นการชั่วคราว ทั้งยังมีแผนอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากบางประเทศอยู่ในเมืองไทยได้นานขึ้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย