นายกฯ สรุปผลหารือ 12 เอกชนฝรั่งเศส เชื่อมั่นเปิดโอกาสลงทุน พัฒนาศักยภาพไทย
นายกฯ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากกรุงปารีส สรุปผลหารือเอกชน 12 บริษัทชั้นนำของฝรั่งเศส เชื่อมั่นเปิดโอกาส ดึงดูดการลงทุน พัฒนาศักยภาพไทย
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2567 เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลเผยแพร่ข้อมูลว่า เมื่อ 8 มี.ค. 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชนถึงภารกิจในวันแรกที่กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยกล่าวว่า วันแรกของการพบภาคธุรกิจในประเทศฝรั่งเศส ทั้ง 12 ราย ครอบคลุมทุกภาคธุรกิจ ตั้งแต่ ยานยนต์ แฟชั่น โรงแรม เครื่องบิน อาหาร โรงงานอุตสาหกรรม
1. ACCOR group เป็นกลุ่ม chain โรงแรมใหญ่ที่สุดในโลก มีกว่า 100 โรงแรมในไทย โดยต้องการเข้ามาวางแผนการทำแผนการท่องเที่ยวร่วมกับรัฐบาล และอยากที่จะร่วมทุนกับกองทุนไทย เช่น pension fund เพื่อขยายธุรกิจ – การสร้างโรงแรมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. บริษัท Michelin โดยบริษัทใช้ยางพาราในไทยมาก มีโรงงานในไทยทำธุรกิจมานาน หวังที่จะให้ไทยช่วยในเรื่อง ease of doing business
3. Federation Haute Couture สมาคมแฟชั่นชั้นสูง เป็นสมาพันธ์เพื่อส่งเสริมนักออกแบบรุ่นใหม่โดยอยากทำกิจกรรมร่วมกับไทย ทั้งอีเว้นท์ แฟชั่นโชว์ และสร้างสถาบันให้ความรู้กับนักเรียนไทย นายกฯ เชิญมาทำอีเว้นท์ในไทยช่วงเมษายนนี้ ให้จัดกิจกรรมคล้าย Paris Fashion Show ในกรุงเทพฯ
4. Comité Colbert เป็นองค์กรที่พยายามผลักดันให้แบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกได้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นองค์กรที่ให้ความรู้แก่แบรนด์ และนักออกแบบทั่วโลก รวมไปถึงในด้าน soft power ด้วย โดยนายกฯ ได้เชิญองค์กรดังกล่าวให้เข้าไปให้ความรู้ โดยผ่านความร่วมมือกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
5. Michelin guide บริษัทเห็นว่า ไทยมีศักยภาพมากด้านอาหาร พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารภายในประเทศไทย เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาหาประสบการณ์ในด้านอาหารในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ไทยหวังที่จะยกระดับความร่วมมือกับ Michelin เพื่อช่วยส่งเสริมในการร่วมจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ทั้งในไทย และต่างประเทศ เพื่อเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศไทย โดยไตรมาสนี้ ช่วงปลายพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2567 จะมาจัดงานเทศกาลอาหารระดับโลกที่จังหวัดเชียงใหม่
6. บริษัท Richemont เป็นกลุ่มบริษัทฯที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลก อาทิ Cartier, Van Cleef & Arpels, IWC โดยประเทศไทยมียอดการขายเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งนายกฯ ได้ขอความร่วมมือในการทำ Collaboration กับแบรนด์ของไทย เพื่อส่งเสริมศักยภาพของนักออกแบบไทย รวมถึงวัตถุดิบไทย ที่มีคุณภาพ ตลอดจนเชิญชวนให้มาทำกิจกรรม อาทิ popup store, co-promotion กับกิจกรรมอื่นๆ ที่จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว
7. Valeo บริษัทผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและการผลิตส่วนประกอบ ระบบบูรณาการ และโมดูล สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ มีชื่อเสียงในด้านนวัตกรรมในการพัฒนาและการผลิตเทคโนโลยี สำหรับเครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิมและยานพาหนะไฟฟ้า โดยนายกฯ เชิญชวนมาขยายการลงทุนในประเทศไทย ผลักดันการสร้างระบบนิเวศน์ให้กับรถ EV เป็นอีกหนึ่งก้าวที่ขยับเข้าใกล้ Future Mobility Hub และการเป็น Detroit ของเอเชีย
8. บริษัท Airbus ขับเคลื่อนเรื่อง Aviation Hub กับ Airbus Group โดยบริษัทมีเทคโนโลยีด้านความมั่นคงทางอากาศ ซึ่งไทยมีศักยภาพในการขยายศูนย์ความเป็นเลิศระดับภูมิภาคด้านการสนับสนุนและบริการ ปฏิบัติการบิน
9. บริษัท Forvia เป็นบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่มีการนำเอานวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้พลังงานสะอาด สนับสนุนให้โรงงานผลิตที่ยังใช้ระบบ ICE ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน
10. บริษัท EssilorLuxottica ผลิตเลนส์แว่นตา โดยบริษัทชื่นชมแรงงานฝีมือของไทย และมีแผนที่จะเพิ่มพนักงานจาก 6,000 เป็น 12,000 คนจึงหวังให้รัฐบาลสนับสนุนด้าน Human resource development และอยากให้ไทยเดินหน้าเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
11. ได้พูดคุยหารือกับ Stellantis บริษัท ผลิตรถยนต์อันดับ 4 ของโลก ซึ่งได้พูดคุยเพื่อให้เกิดความร่วมมือ ซึ่ง บริษัทฯ สนใจจะลงทุนในไทย ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน
12. YOUTUBE นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ Global Head of Music ของ youtube ซึ่งเป็นผู้ค้นพบและพัฒนา ศิลปินชั้นนำ อาทิ Jay z Bon Jovi Mariah Carey เเละเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องธุรกิจดนตรี มาเชิญชวนนายกฯ ให้มีช่อง YouTube เป็นของตัวเองโดยจะส่งหนังสือและส่งลิสต์มาให้ว่ามีผู้นำที่มีช่อง YouTube เป็นของตัวเองแล้วกว่า 20 คนมีใครบ้างและต้องทำอะไรบ้าง
"โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้พูดกันเกี่ยวกับเป้าหมายที่รัฐบาลไทยกำหนดให้ปีหน้าเป็นปีของ มิวสิค festival แนวทางที่จะจัดงานและเชิญนักร้องระดับ A list มาร่วมงาน festival ในไทย" นายเศรษฐา กล่าว