'ครูมานิตย์' คนใต้ หัวใจ 'สุรินทร์' องครักษ์-กตัญญู 'ชินวัตร'
"ผมรักพรรคนี้เพราะผมเกิดจากพรรคนี้ แล้วผมมีความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านนายกฯ ทักษิณ ต่อตระกูลชินวัตรทุกคน ทั้งคุณอุ๊งอิ๊งค์ (แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย) เพราะเห็นเธอมาตั้งแต่เด็กๆ" ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย
KEY
POINTS
- "ครูมานิตย์" สส.สุรินทร์ 5 สมัย ไม่เคยสอบตก ถ้าสังกัด "ไทยรักไทย-เพื่อไทย"
- พื้นเพเกิด จ.พัทลุง โดยกำเนิด หลงรัก จ.สุรินทร์ มุ่งหน้าสอบเป็นครูประถมฯ ที่ อ.ศีขรภูมิ
- ชื่อ "มานิตย์" มาทั้งชีวิต แต่มาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อใช้คำขึ้นว่า "ครูมานิตย์" เมื่อปี 2553
- สูญเสียภริยาสุดที่รักต้องดูแลลูกชาย เหตุตัดสินใจไม่เป็นแกนนำ นปช.เมื่อปี 2552-2553 เพราะรู้จุดจบของแกนนำ
- เลือกตั้งปี 2566 สส.สุรินทร์ "เพื่อไทย" พ่ายสรรพกำลัง "ภูมิใจไทย" และ "บารมี" จากคนบุรีรัมย์
- "ครูมานิตย์" ย้ำ "เพื่อไทย" ไปด้วยกันกับ "ก้าวไกล" ไม่ได้ โดยเฉพาะการแก้ไข มาตรา 112
- ขอเป็นองครักษ์-กตัญญูคนตระกูล "ชินวัตร" โดยเฉพาะ "ทักษิณ" และ "แพทองธาร ชินวัตร"
"ถ้าคนจะได้เป็นผู้แทน คนจะเป็นตัวแทนคน เอาอะไรมารั้งก็ไม่ฟัง เขาลิขิตมาแล้ว"
ถ้อยคำระหว่างให้สัมภาษณ์ของ "ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม" สส.สุรินทร์ เขต 5 พรรคเพื่อไทย ผ่าน "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงโชคชะตาฟ้าลิขิต ที่เขาเกือบจะไม่ได้เป็นผู้แทนคนเมืองช้าง เมื่อปี 2544 แต่ท้ายที่สุดก็ได้รับเลือกจาก "พรรคไทยรักไทย" ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.สุรินทร์
เป็น สส.ยุคแรกของ "ไทยรักไทย" เป็น สส.นกแล ที่ไม่ใช่นักการเมืองบ้านใหญ่ "ครูมานิตย์" เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ร่วมรุ่นกับ "นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว" - "สุทิน คลังแสง" ในยุคที่ "ไทยรักไทย" ฟีเวอร์เฟ้นหา สส.สายเลือดใหม่
"ครูมานิตย์" ตลอดทั้งชีวิตใช้ชื่อ "มานิตย์" แต่มาเปลี่ยนชื่อเป็น "ครูมานิตย์" เมื่อปี 2553 เพราะเกรงว่าระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ถ้าแนะนำตัวบนเวทีปราศรัยว่า "กระผมครูมานิตย์" ก็อาจถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สอยพ้นผู้สมัครได้ เพราะเขาเป็นนักการเมืองเต็มตัว ไม่ใช่เป็น "ครู" สอนนักเรียนประถมฯ
เกิด "พัทลุง" แต่หัวใจรัก "สุรินทร์" ถิ่นช้างใหญ่
พื้นเพ "ครูมานิตย์" เป็นคนใต้โดยกำเนิดเกิดที่ จ.พัทลุง สำเร็จการศึกษาวิทยาลัยพละ จ.ชุมพร ก่อนตัดสินใจมุ่งหน้าไปดินแดนถิ่นช้างใหญ่ จ.สุรินทร์ เพื่อสานฝันตัวเองในการเป็น "ครู" สอนนักเรียนที่ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์
ปี 2529 "ครูมานิตย์" เริ่มต้นอาชีพครูที่โรงเรียนบ้านสมบูรณ์ (ปัญจวิทยา) ต.กุดหวาย อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมฯ สอน ป.1-ป.6 มีหมู่บ้านอยู่ห่างจากโรงเรียนแห่งนี้ข้างละ 1 กิโลเมตร
"จริงๆ แล้วผมไม่ใช่คน จ.สุรินทร์ ผมเป็นคนเกิดอยู่ จ.พัทลุง ทางภาคใต้ ขณะที่เรียนจบจากวิทยาลัยพละ จ.ชุมพร มีความคิดอยู่ตลอดเวลาว่า อยากไปอยู่ที่ภาคอีสานให้ได้ ผมขอไปสอบที่ จ.สุรินทร์ เพราะว่ามันเป็นเมืองช้าง"
เริ่มแรก "ครูมานิตย์" สอนวิชาภาษาอังกฤษ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ถนัดวิชาภาษาอังกฤษ แต่เป็นเพราะไม่มีบุคลากรครูเพียงพอ ทำให้ต้องสอนวิชาดังกล่าวกับนักเรียน ชั้น ป.6 รวมทั้งไปช่วยจัดระบบการเรียนการสอนที่โรงเรียนบ้านสมบูรณ์ อีกทั้งยังสอนวิชาพละตามที่ถนัดด้วย
"ครูมานิตย์" บอกว่า "เป็นครูขณะนั้นก็รับบทเป็นผู้ยุติปัญหาในหมู่บ้านด้วย เป็นครูตั้งแต่ปี 2529 ในบรรดา สส.ภาคอีสาน สส.ที่ได้เปรียบเรื่องภาษา คือ สส.โซน จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ เพราะพวกนี้พูดได้ทั้งภาษาเขมร ภาษาลาว บางคนพูดได้ถึงภาษาส่วย บ้านพี่ มีภาษาส่วย ภาษาเขมร ภาษาลาว ภาษาไทย"
ไม่เคยสอบตก สส.ถ้าอยู่ "ไทยรักไทย-เพื่อไทย"
สส.สุรินทร์ ผู้ไม่เคยสอบตกแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าอยู่ภายใต้แบรนด์ "ไทยรักไทย" หรือ "เพื่อไทย" เขาผู้นี้ได้รับเลือกตั้งชนะมาตลอดตั้งแต่ปี 2544 ปี 2548 ปี 2554 ปี 2562 และล่าสุดปี 2566 ขาดเพียงปี 2550 ที่เขาตัดสินใจย้ายไปอยู่ "พรรคมัชฌิมาธิปไตย" ตามแกนนำพรรคไทยรักไทยบางคน
"ผมมาสอบตกรอบหนึ่งตอนหลังจากปฏิวัติท่านทักษิณ มีผู้ใหญ่คนหนึ่ง 2-3 คนในพรรคไทยรักไทย บอกว่าเราไปช่วยตั้งพรรคกันใหม่ เพราะถ้าเรายังอยู่ตรงนี้ เราจะโดนฝ่ายมีอำนาจเอาเราแน่แล้วจะอยู่ลำบาก"
"ครูมานิตย์" บอกว่า "ด้วยประสบการณ์ที่อ่อนก็ไป แต่ก็ยังขอบคุณในวันนั้นนะ ทำให้เรากลับมาวันนี้ ทำให้เรามีความคิด มีความรู้ มีประสบการณ์ มีอะไรมากมายกับการไปวันนั้นไปตั้งพรรคกัน แล้วก็สอบตก จริงๆ ถ้าเป็นเขตเล็ก พี่ก็ไม่ตก เพราะในเขตบ้านพี่ พี่ยังได้ที่หนึ่ง"
ทันใดนั้น สส.คนใต้ หัวใจ "สุรินทร์" ก็เอ่ยถึงคำขวัญของจังหวัดว่า "สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย มันมีวัฒนธรรมมันมีปราสาทในตัว เพราะบ้านผมมีปราสาทอยู่กลางเมือง"
บรรยากาศตอนลงสมัคร สส.สมัยแรกของ "ครูมานิตย์" เคยติดป้ายหาเสียงแบบพระเยซู โดยเขียนคำสั้นๆว่า "ผมอยากเป็นผู้แทนครับ" โดยนำป้ายและลังกระดาษไปติดกับต้นไม้ข้างทาง
"คนมันอยากเห็นหน้า ไอ้ครูมานิตย์ หน้าตามันเป็นยังไง มันคนบ้าหรือเปล่า ขนาดคู่ต่อสู้เราไปปราศรัยบอกมีครูบ้าๆ คนหนึ่งติดป้ายบอกผมอยากเป็นผู้แทนครับ ชาวบ้านก็ยิ่งสนใจไง"
"ครูมานิตย์" บอกว่า "ไปปราศรัยแรกๆ มีคนมาฟัง 2-3 คน กับหมา 2-3 ตัวอ่ะ คือหมาจะไปตามแสงไฟอยู่แล้ว เราไปปราศรัยสี่แยก แล้วคนมันไม่ออกมา บางบ้านกลัวอิทธิพล กลัวผู้สมัครคนอื่น เขาไม่ออกมา หัวคะแนนสั่งไม่ให้ออกมา เฮ้ย อย่าออกไปอย่างนี้ เขาก็ไม่กล้าออกมา"
ยิ่งปราศรัยบ่อยเข้า ใช้กลยุทธ์วิ่งปราศรัยค่ำที่ไหนนอนที่นั่นแม้กระทั่งวัด ก็ยิ่งทำให้เกิดขบวนการหัวคะแนนธรรมชาติแห่ออกมาช่วยหาเสียงและทำให้ "ครูมานิตย์" ประสบความสำเร็จเป็นผู้แทนสมัยแรกเมื่อปี 2544
"เวลาเขาเรียกผู้แทนในสภาฯ จบหมอมาจะเรียกคุณหมอ เชิญคุณหมอชลน่าน เชิญคุณหมอโน่น คุณหมอนี่ เชิญท่านอัยการ เชิญท่านผู้พิพากษา แต่เวลาเรายกมือ ไม่บอกว่าเชิญครูมานิตย์เลย บอกเชิญคุณมานิตย์ เราก็นั่งคิด ครูก็เป็นทรัพยากรสำคัญมาก สร้างคน สร้างบ้านสร้างเมือง ทำไมเขาไม่เรียกเราครูบ้าง"
นั่นคือจุดเปลี่ยนทำให้ "มานิตย์" เปลี่ยนมาเป็น "ครูมานิตย์" เมื่อปี 2553
เป็นกองเชียร์ "คนเสื้อแดง" รู้จุดจบถ้าเป็นแกนนำ
ย้อนไปนาทีที่โชคชะตาไม่เข้าข้างคนใต้หัวใจ "สุรินทร์" ด้วย ภริยาสุดที่รักต้องมาเสียชีวิตเมื่อปี 2552 อย่างกะทันหัน ภาระทั้งหมดในครอบครัว “สังข์พุ่ม” จึงตกอยูที่ "ครูมานิตย์" ผู้เป็นเสาหลักที่ต้องเลี้ยงลูกชาย 2 คนด้วย
และเมื่อปี 2552 มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือ นปช. ที่กรุงเทพฯ เขาถูกแกนนำ นปช.ในขณะนั้น ทั้ง พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีต สส.กำแพงเพชร พายัพ ปั้นเกตุ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช.มาชวนให้ขึ้นไปช่วยปราศรัยเป็นแกนนำบนเวที
แต่คำตอบที่ได้จากปาก "ครูมานิตย์" ถึงแกนนำ นปช.ว่า ขออยู่เป็นกองเชียร์ข้างเวทีเสื้อแดงเท่านั้น เพราะเขารู้ว่าผลสุดท้ายจุดจบของแกนนำ นปช.ต้องไปอยู่ที่เรือนจำ ทำให้คนเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องเลือกความอยู่รอดของชีวิตตัวเองและลูกอีก 2 คนก่อน
"ปี 2553 คนสุรินทร์มาชุมนุมเสื้อแดงเยอะ แต่ผมไม่ได้ขนมา ไม่ใช่ว่าผมปฏิเสธ เพราะหนึ่ง ผมไม่มีหลายเรื่องในตัว ทั้งกำลังทรัพย์ ผมกังวล เพราะว่าพี่มีลูกชายอยู่ 2 คน ถ้าเรามีเหตุเป็นไปอะไรไป หรือเราติดคุกไม่รู้ใครจะดูแลลูกชาย"
ในการเลือกตั้งทั่วไป จ.สุรินทร์ ปี 2554 พรรคเพื่อไทย เกือบแลนด์สไลด์ยกจังหวัด กวาด สส.เข้าสู่สภาฯ 7 เขต จากทั้งหมด 8 เขต แพ้ "ภูมิใจไทย" ในเขต 1 เพียงเขตเดียว "ครูมานิตย์" บอกว่ากระแสฟีเวอร์ "เพื่อไทย" มาจากการนำเสนอนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสังคมมองว่านายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดนรังแก รวมทั้งปัจจัยสำคัญคือมีคนเสียชีวิตจากการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ด้วย
ถามว่า ทำไม "ครููมานิตย์" อยู่พรรคเพื่อไทย ไม่เคยสอบตก สส.สุรินทร์ เขาตอบทันทีว่า "ถ้าเราย้ายไปอยู่พรรคอื่น เขามองว่าเราเป็นคนทรยศ ผมเป็นครูมาก่อน ความกตัญญูกตเวทิตาเป็นเรื่องหลัก แล้วเราไม่รู้จะไปปราศรัย ถ้าเขาถาม ตอบคำถามสังคมไม่ได้ เราตอบคำถามชาวบ้านไม่ได้ แล้วเราไม่ใช่คนบ้านใหญ่ ที่จะเอาอาวุธไปสู้เพื่อแลกเปลี่ยนกับคำว่าทรยศ"
"อย่าลืมว่าที่ จ.สุรินทร์ ผมเป็นคนที่หาเสียงง่ายที่สุด สบายที่สุดยิ่งกว่าคนอื่นทุกคน"
พ่าย "ภูมิใจไทย" เหตุแพ้สรรพกำลังคนบุรีรัมย์
ถามถึงผลการเลือกตั้งปี 2566 จ.สุรินทร์ "พรรคเพื่อไทย" กลับพ่ายให้ "ภูมิใจไทย" 5 เขต "พรรคเพื่อไทย" ได้มาเพียง 3 เขต คือ "ครูมานิตย์-ชูชัย มุ่งเจริญพร-พรเทพ พูนศรีธนากูล"
"ครูมานิตย์" บอกว่า "อาจเป็นความประมาท และบังเอิญ จ.สุรินทร์ติด จ.บุรีรัมย์ เมืองหลวงของภูมิใจไทย ทั้งบารมี ทั้งสรรพกำลัง ใช้คำว่าสรรพกำลังดีว่า จนกระทั่งยืนไม่ค่อยติดกัน"
"ถ้าเพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ แย่งกัน 3 คนนี่ เสร็จเลย เสร็จก้าวไกล"
ลั่นคัดค้านแก้ไข ม.112 ไม่จับมือ "ก้าวไกล"
ถามว่า ตอนนี้มีคนมองว่า "เพื่อไทย" เปลี่ยนเป็น "อนุรักษนิยม" ของขั้วใหม่แล้ว "ครูมานิตย์" ยอมรับว่า ถ้าสังคมผลักมาอย่างนั้น ก็เป็นไปได้ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าวันนี้พรรคก้าวไกลคิดยังไงด้วย
"แต่จะเอาให้เพื่อไทยไปทำเหมือนก้าวไกล นโยบายบางตัว มันไม่ได้ เดินกันไม่ได้ อย่างมาตรา 112 ผมฟันธงตั้งแต่ประชุมพรรคเลย ให้ผมโหวต ผมไม่โหวตให้เด็ดขาด ไล่ผมออกจากพรรค ผมก็ออก ผมรักพรรคนี้เพราะผมเกิดจากพรรคนี้ แล้วผมมีความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่านนายกฯ ทักษิณ ต่อตระกูลชินวัตรทุกคน ทั้งคุณอุ๊งอิ๊งค์ (แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย) เพราะเห็นเธอมาตั้งแต่เด็กๆ"
"นั่งวิเคราะห์ให้ฟังอยู่กับพรรคพวกที่สภาฯ ก้าวไกลกำลังขึ้นแต่ไม่ใช่พรรคที่น่ากลัว แต่ถ้าตราบใด พวกคุณไปแย่งกันมันก็เสร็จเขา นึกออกไหมครับ"
"ครูมานิตย์" บอกว่า ตนเองเคยคัดค้าน "พรรคเพื่อไทย" ไม่ให้จับมือ "พรรคก้าวไกล" ตั้งรัฐบาล รวมทั้งเคยคัดค้านพรรคเพื่อไทยร่วมเสนอชื่อ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" เป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภา เมื่อปี 2562
"ที่ไปโหวตให้ธนาธร วันนั้นโหวตด้วยน้ำตานะ สำหรับผมนะ พอมา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์อีกก็โหวตด้วยน้ำตาอีก"
"ครูมานิตย์"บอกว่า ถึงอย่างไร "พรรคเพื่อไทย" และ "พรรคก้าวไกล" ก็ไปด้วยกันไม่ได้ เพราะการทำงานคนละวิธีคิดกัน
ไม่กล้าเดินตัด "ชาดา" อภิปรายเดือดกลางสภาฯ
ถามถึงวินาทีที่ "ชาดา ไทยเศรษฐ์" สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย และ รมช.มหาดไทย ลุกขึ้นอภิปรายท้วงติงพรรคก้าวไกลอย่างดุเดือดกลางสภาฯ เกี่ยวกับจุดยืนของสถาบัน ทำไม "ครูมานิตย์" ถึงต้องไปยืนข้างหลัง "ชาดา" โดย "ครูมานิตย์" ชี้แจงว่า "ผมเดินมาจากห้องพอดี เดินมาจากข้างหลังพอดี ห้องน้ำ ก็เลยไม่อยากเดินตัดสวนไป"
"คำว่าวอลเปเปอร์ มันเกิดขึ้นเพราะมี สส.มายืนตามหลังผมด้วยไง มันก็เลยเต็ม ผมยังไปแซวชาดาเลยที่คุณดัง ไม่ใช่ดังเพราะคุณนะ ดังเพราะผมไปยืนแล้วก็คนอื่นมาต่อแถวข้างหลัง"
"ถามว่ายืนให้กำลังใจเขาไหม เผื่อเขาหันมาเห็นผมยืน อาจจะมีกำลังใจเล็กๆ จากเราไปให้เขา บังเอิญมันถูกใจเรา ในหัวข้อที่อภิปราย" ครูมานิตย์ ชื่นชมการอภิปรายของ "ชาดา" ที่ตอบโต้ "พรรคก้าวไกล"
ถามย้ำว่า วันนี้คนสุรินทร์ยังรักผูกพันพรรคเพื่อไทย และ "ทักษิณ ชินวัตร" อยู่หรือไม่
"ครูมานิตย์" ระบุว่า "ผมเชื่อว่าความรักและความผูกพันที่นายกฯ ทักษิณสร้างไว้กับบ้านนี้เมืองนี้ได้อานิสงส์มาถึง จ.สุรินทร์ คนสุรินทร์ คนหลายๆ จังหวัดยังคิดถึงท่านอยู่"
"วันนี้ผมกล้าประกาศต่อสาธารณชนเลยว่า ผมเป็นองครักษ์พิทักษ์ตระกูลชินวัตร แต่ว่าเรื่อง มาตรา 112 ไม่เอาเด็ดขาด"
สส.สุรินทร์ 5 สมัยสำเนียงคนใต้ยังเชื่อมั่นว่า "พรรคเพื่อไทย" ยังไม่เสื่อมความนิยม โดยเชื่อมั่นในฝีมือการบริหารของ "เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันที่จะนำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
"ครูมานิตย์" ย้ำทิ้งท้ายว่า "เราเกิดที่นี่ (พรรคเพื่อไทย) เรารักที่นี่"
"ถ้าเลิกเล่นการเมืองก็เลิกอยู่ที่พรรคเพื่อไทย แล้วอายุเริ่มมากแล้ว เริ่มคิดรู้จักตัวเองว่าพอประมาณแล้ว ถ้าจะเลิกก็เลิกที่พรรคเพื่อไทย"