'อุ๊งอิ๊ง-ภูมิธรรม' คิดทำอะไร ทำไมต้องเสี่ยง ได้ไม่คุ้มเสีย?
หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณชน เฉิดฉาย เบ่งบารมีทางการเมือง แบบไม่ต้องเหนียมอายในความเป็น “นักโทษ” หลังได้รับการ “พักโทษ” แบบค้านสายตาคนทั้งประเทศ เพราะไม่เข้าเกณฑ์บางข้อ กรณีระบุว่า ต้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ภาพที่ปรากฏคือ แทบมองไม่ออกว่า เป็นคนป่วยหนักถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจถึง 180 วัน
ยิ่งกว่านั้น “ทักษิณ” ยังโชว์ความแข็งแรงในการลงพื้นที่หลายจังหวัด นับแต่ไปสงกรานต์ที่เชียงใหม่ จากนั้นก็ไป จ.ภูเก็ต รวมถึงข่าวว่าจะเดินทางไป จ.นครราชสีมา ด้วย
ส่วนเรื่องผิดเงื่อนไข “พักโทษ” หรือไม่ รมว.ยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ ทำให้เห็นมาตั้งแต่ เอื้อประโยชน์กรณีป่วยทิพย์มาแล้ว เรื่องนี้ใครออกมาพูด ก็เป็นได้แค่คนไม่เห็นด้วย หรือไม่ก็เสียงนกเสียงกา....
คราวนี้ถึงคิว “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ได้แสดงบทบาทบ้าง พูดได้ว่า จัดให้โชว์หนักเป็นครั้งแรก หลังได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าพรรคก็ว่าได้
แต่ดันมีคน “คิดใหญ่” ให้ “อุ๊งอิ๊ง” โชว์ “เกินเบอร์” ไปฟาดฟันกับ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แม้แต่คนระดับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่กล้าวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา
“ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ เป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ”
คือ คำพูดที่ถูกขยายความทันควันว่า วิจารณ์ในสิ่งตัวเองไม่รู้ ไม่เข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแม้แต่เรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
กระแสตีกลับจากที่ต้องการโชว์วิสัยทัศน์กลับถูกทัวร์ลง และถูกนำไปแชร์โจมตีทางโซเชียลสนุกสนานเป็นว่าเล่น
หนึ่งในนั้น มีการแชร์เฟซบุ๊ก Suthichai Live ของ สุทธิชัย หยุ่น โพสต์แสดงความคิดเห็นว่า คำแถลงของ น.ส.แพทองธาร เสมือนเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะเป็นการสื่อสารที่ไม่เข้าใจความหมาย ทั้งยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ฝ่ายการเมืองต้องการกดดันผู้ว่าฯ ธปท. พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า “หากการเมืองสั่งธนาคารกลางได้ บ้านเมืองจะเป็นเช่นไร?”
แน่นอน ใครก็รู้ว่า “อุ๊งอิ๊ง” เติบโตทางการเมือง ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ทางการเมืองยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป เพียงแต่ เป็น “ทายาท” ทางการเมืองของ “ทักษิณ” และพ่อผลักดันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเท่านั้น จึงมีวันนี้ได้
เรื่องนี้ แม้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ จะปกป้องว่า เป็นการแสดงความเห็นที่สามารถทำได้ ไม่ได้เป็นการบีบ ธปท. แต่ดูเหมือนว่า ช่วยอะไรไม่ได้เสียแล้ว
ยิ่งคำพูดของ “ภูมิธรรม” ที่ว่า “แบงก์ชาติไม่ใช่ องค์กรที่แตะต้องไม่ได้” นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังซ้ำเติมให้เลวร้ายไปกันใหญ่
ขณะที่พรรคเพื่อไทย โดยน.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชระโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้แทรกแซงความเป็นอิสระของ ธปท. และการที่ “อุ๊งอิ๊ง” แสดงความคิดเห็น เพราะต้องการให้ ธปท. รับฟังเสียงรัฐบาล ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการคลัง และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินการคลังสอดคล้องและเป็นไปในทางเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐบาลกำหนดเป้าหมายในการฟื้นฟู และผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตไปด้วยกันเพื่อการพัฒนาประเทศ
อีกด้านหนึ่ง กระแสในโลกโซเชียล ยังมีการแชร์ “วรรคทอง” ของ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ ธปท. ที่กล่าวเปิดใจระหว่างพิธีรับมอบทองคำแท่งเข้าคลังแผ่นดิน(30 เม.ย.67) ว่า
“รัฐบาลมาแล้วไป ผู้ว่าฯมาแล้วก็ไป แต่สถาบัน องค์กรธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องอยู่ และต้องอยู่อย่างเข้มแข็ง”
นี่คือ จุดยืนที่ไม่เกรงกลัว และยอมก้มหัวให้ฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซงได้โดยง่าย เช่นเดียวกัน
ทั้งต้องยอมรับว่า ธปท. และผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ยึดมั่นในหลักการทำงาน ที่จะต้องทำให้ ธปท.ในฐานะธนาคารกลาง ต้องเป็นเสาหลักในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยไม่ยอมให้การเมืองเข้าแทรกแซง ด้วยการรับสัญญาณหรือคำสั่งให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่ถูกต้องและจะเกิดผลเสียกับประเทศชาติ
ที่สำคัญ การที่ฝ่ายการเมืองจะ “ปลด” ผู้ว่าฯธปท.ออกจากตำแหน่ง ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป เพราะในปัจจุบัน พ.ร.บ.ธปท.มาตรา 28/19 ระบุว่า การให้ผู้ว่าฯ ธปท.พ้นจากตำแหน่ง หรือ “ปลดออก” จะทำได้ 2 กรณีคือ
(4) คณะรัฐมนตรีมีมติให้ออกโดยคําแนะนําของรัฐมนตรี เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงหรือทุจริตต่อหน้าที่
(5) คณะรัฐมนตรีมีมติให้ออก โดยคําแนะนําของรัฐมนตรีหรือการเสนอของรัฐมนตรี โดยคําแนะนําของคณะกรรมการ ธปท. เพราะบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ โดยมติดังกล่าวต้องแสดงเหตุผลในการให้ออกอย่างชัดแจ้ง
ดังนั้น ใครที่บงการเขียนสคริปต์ให้ “อุ๊งอิ๊ง” อ่าน และเล็งผลเลิศในความกล้าท้าทาย ให้สังคมเห็น ก็คงได้บทเรียนสาสมแล้ว ไม่ใช่ “หมูในอวย” อีกต่อไป
จาก “อุ๊งอิ๊ง” ยังไม่พอ มาถึงคิว “เบอร์ใหญ่” ระดับ “เดอะอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ แล้วนำข้าวที่เก็บในโกดังนานกว่า 10 ปี มาหุงกินโชว์ต่อหน้าสื่อมวลชน พร้อมเผยว่า จะมีการเปิดประมูลข้าวสารในสต๊อก 2 โกดังสุดท้ายให้หมด ซึ่งเหลือข้าวหอมมะลิ 15,012 ตัน หรือ 145,590 กระสอบโดยเป้าหมายคือ “แอฟริกา”
จนตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง เป็นกระแสมาจนถึงวันนี้
ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ก็คือ การที่คนระดับรัฐมนตรีออกมาการันตีว่า ข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวซึ่งมีอายุ 10 ปีแล้ว ยัง “กินได้” มันให้ความรู้สึกที่ยึดผลประโยชน์พรรคพวกตัวเองมากกว่าผลกระทบจากการการันตีดังกล่าว
เพราะอย่าลืม โครงการรับจำนำข้าว เป็นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การมุ่งช่วยฟอกขาวให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยไม่สนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้น หากการการันตีว่า กินได้ กินโชว์ นำไปสู่อันตรายต่อชีวิตผู้บริโภค และหรือกระทบกับภาพลักษณ์การค้าข้าวของไทย ที่ต่างประเทศอาจติดภาพข้าวเก่า ข้าวไม่มีคุณภาพ แม้ความจริงมันไม่มีแล้วก็ตาม
ประการต่อมา คือ การปนเปื้อนสารรมควันข้าว ที่นำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น สารเมทิลโบรไมด์ (methyl bromide) และ อลูมิเนียมฟอสไฟด์ (aluminium phosphide) หรือ ฟอสฟีน ที่ผู้รู้ยืนยันว่า มีโอกาสตกค้างในเมล็ดข้าวสารได้ ที่สำคัญ ยังอาจก่อมะเร็งด้วย
ประการสำคัญ มันฝืนความรู้สึกคนไทยอย่างมาก ที่จะนำข้าวเก่าเก็บ 10 ปีมารับประทาน เพราะคนไทยคุ้นเคยกับวิถีชีวิตชาวนา และรู้เรื่องข้าวเป็นอย่างดี รู้ดีว่า “ข้าวเก่า” เก็บไว้รับประทานได้นานแค่ไหน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้รัฐมนตรี มาการันตี แต่อย่างใด หรือ การันตีไป เขาก็เลือกที่จะเชื่อตัวเองมากกว่า
งานนี้ “เดอะอ้วน” จึงพลาด! เพราะมีวาระซ่อนเร้นในการออกมาจัดการให้จบเรื่องหรือไม่?
เพราะยังมีคำถามอยู่ว่า เป็นไปได้อย่างไรประสบการณ์ชีวิตระดับ “เดอะอ้วน” จะไม่รู้ว่า ข้าวเก็บไว้นาน 10 ปีรับประทานได้หรือไม่ เสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตหรือไม่ รวมถึงภาพลักษณ์ที่จะกระทบตามมากับการค้าข้าวของไทย ที่ต่างประเทศอาจมี “ภาพจำ” นำข้าวเก่า 10 ปีมาขาย
แต่ที่ต้องทำ อาจเป็นวาระซ่อนเร้น อย่างที่นักวิชาการบางคนวิคราะห์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางกลับไทยก็ต่อเมื่อคดีนี้สิ้นสุด ไม่มีข้าวจากโครงการเหลืออยู่ในโกดัง เป็นวิธีการเดียวที่จะนำไปสู่จุดเริ่มต้นของการลบภาพจำโครงการนี้ อีกทั้งการปรับเปลี่ยน รมว.ต่างประเทศ การตั้ง รมต.ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมารอไว้ และเคลียร์คดีรับจำนำข้าวอย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อย อาจเป็นการเตรียมความพร้อมกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไทย หาช่องให้คดีที่ยังเหลืออยู่ได้รับโทษน้อยที่สุด
สรุปว่า การออกมาวิจารณ์ผู้ว่าฯ ธปท. ของ “อุ๊งอิ๊ง” ก็อาจเนื่องมาจาก ขวางโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นนโยบาย “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทย และอาจไม่คิดว่า จะผิดคิว ผิดคน ที่ควรจะออกมาเอง อย่าง “ทักษิณ”?
ส่วน “เดอะอ้วน” ภูมิธรรม ออกมา “ฟอกขาว” ข้าว 10 ปี กินได้ ของโครงการรับจำนำข้าว ก็เพื่อ “ยิ่งลักษณ์” แม้ว่าจะโดนด่าย่อยยับก็ยอม
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ในทางการเมือง และกระแสโจมตี ถือว่า การออกมาของ “อุ๊งอิ๊ง” และ “ภูมิธรรม” ได้ไม่คุ้มเสีย
แต่ถ้ามองในมุมที่พรรคเพื่อไทย และตระกูลชินวัตร ได้ประโยชน์ “คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม” หรือไม่ ก็ลองคิดดู!?