เปิด! คำร้อง 40 สว. ถอด 'เศรษฐา-พิชิต' พ้นตำแหน่ง หลังพบ 'ทักษิณ' ก่อนทูลเกล้าฯ
เปิดคำร้อง 40 สว. ฉบับเต็ม ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ ถอด "เศรษฐา-พิชิต" พ้นตำแหน่ง เข้าข่ายขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ หลังเข้าพบ "ทักษิณ" 3 ครั้ง ก่อนนำชื่อทูลเกล้าฯ
18 พ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณีสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ได้ร่วมกันเข้าชื่อ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ของนายพิชิต ชื่นบาน หลังมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องสิ้นสุดลงหรือไม่ ผ่านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา
ล่าสุด มีเอกสารสรุปคำร้องสมาชิกวุฒิสภา เผยแพร่ ดังต่อไปนี้
สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 40 คนลงนามเข้าชื่อขอให้ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาทวีสินนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องที่ 1 และนายพิชิตชื่นบานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1(4)(5) หรือไม่
ด้วยปรากฏว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโดยผู้ถูกร้องที่ 1 ทั้งๆที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกร้องที่ 2 ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4)และ(5) ที่บัญญัติว่า
มาตรา 160 รัฐมนตรีต้อง
(4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีประพฤติกรรม อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
"ผู้ร้อง" เห็นว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่ความเป็นนายกรัฐมนตรีกระทำการโดยอาจมีเจตนาไม่สุจริตเพื่อประโยชน์แก่ ผู้ถูกร้องที่ 2 ด้วยการแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ด้วยการเลี่ยงและบิดเบือนข้อเท็จจริงในการให้ข้อมูลแก่สังคมและประชาชนทำให้เข้าใจผิดว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ถูกร้องที่ 2 เรียบร้อยแล้วว่าไม่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายความรวมถึงไม่ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4)และ(5)
ด้วยทั้งนี้ตามความจริงแล้ว ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาฉบับลงวันที่ 1 กันยายน 2566 ยังไม่ได้วินิจฉัยคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องที่ 2 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4)และ(5) ประกอบกับผู้ถูกร้องที่ 1 ได้เข้าพบ นายทักษิณ ชินวัตรซึ่งมี นายพิชิต ชื่นบาน ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นหัวหน้าทนายความประจำตัวจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ก่อนการเสนอทูลเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรี จึงเชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 อาจมีเจตนาไม่สุจริตเรื่องและบิดเบือนข้อเท็จจริงในการให้ข้อมูลแก่สังคมและประชาชนและประกอบกับการที่ ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้เข้าพบ นายทักษิณชินวัตร ดังกล่าวมาข้างต้นไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง โดยมีข้อสังเกต การพบครั้งที่ 3 ในวันที่ 12 เมษายน 2567 ก่อนวันที่ 27 เมษายน 2567 จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ต้องการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร และผู้ถูกร้องที่ 2 หรือไม่ เพราะหลังจากนั้น ผู้ถูกร้องที่ 1 จึงเสนอทูลเกล้าฯแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567
ทั้งนี้ ผู้ถูกร้องที่ 1 รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกร้องที่ 2 ได้กระทำความผิดตามคำสั่งศาลฎีกาที่ ๔๕๙๙/๒๕๕๑ และต่อมาสภาทนายความมีมติลงโทษให้ลบชื่อผู้ถูกร้องที่ 2 ออกจากทะเบียนทนายความแสดงว่าผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นบุคคลที่มีการกระทำการอันเป็นการไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรงผู้ถูกร้องที่ 2 จึงเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี
การกระทำของ ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่เสนอทูลเกล้าแต่งตั้ง ผู้ถูกร้องที่ 2 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 ให้ได้เป็นรัฐมนตรีการกระทำดังกล่าวของผู้ถูกร้องที่ 1 จึงเป็นการกระทำด้วยความไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่มีพฤติกรรมที่รู้เห็นและยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย ต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการคบค้าสมาคมกับผู้มีความประพฤติหรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสียอันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้ ผู้ถูกร้องที่ 1 ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา160 (4) โดยเหตุขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 มีลักษณะต้องห้ามความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ160 (5) ด้วยเหตุผู้ถูกร้องที่ 1 ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่ใช้บังคับกับคณะรัฐมนตรีดังนี้
ข้อ 7 ต้องถือว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน
ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่นและมีพฤติการณ์ที่รู้หรือเห็น หรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ
ข้อ 11 ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง
ข้อ 19 ไม่คบหาสมาคมกับคู่กรณีผู้ประพฤติผิดกฎหมายผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีความประพฤติหรือผู้มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสียอันอาจกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่
ผู้ร้อง ในฐานะสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภาจึงขอให้ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องฉบับนี้เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าด้วยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐาทวีสินนายกรัฐมนตรีผู้ถูกร้องที่ 1 และนายพิชิตชื่นบานและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีผู้ปกครองที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1(4) (5) หรือไม่และขอศาลรัฐธรรมนูญโดยมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรค 2
หมายเหตุ คำร้อง 11 แผ่นเอกสารประกอบ 87 แผ่นรวม 98 แผ่น