'ชัยธวัช' ชี้ปัจจัยการเมืองตัวกำหนดคำวินิจฉัยศาล รธน.คดียุบ 'ก้าวไกล'
'ชัยธวัช' รับยื่นแก้ข้อกล่าวหาคดียุบพรรค ปมล้มล้างการปกครองให้ศาล รธน.แล้ว ลั่นทำเต็มที่ ชี้ปัจจัยการเมืองเป็นตัวกำหนดหลัก ไม่ใช่เหตุผลทางกฎหมายอย่างเดียว คาดนับถอยหลัง 1 เดือนชี้ชะตา 'ก้าวไกล'
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินสถานการณ์คดียุบพรรคก้าวไกล ว่า วันนี้พรรคก้าวไกลได้ส่งตัวแทนไปยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในคดีล้มล้างการปกครองต่อศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้ก็จะมีการไปยื่นขอให้มีการไต่สวน และยื่นบัญชีพยานต่อไป ส่วนกระบวนการจะใช้ระยะเวลาแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตให้มีการไต่สวนหรือไม่ จะให้ไต่สวน เรียกพยานมากน้อยแค่ไหน หรือไม่เรียกเลย ถ้าเร็วที่สุดก็คือศาลไม่ไต่สวนและไม่เรียกพยานอะไรเพิ่มแล้ว เพราะเห็นว่าข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัย อันนี้ก็จะเร็ว จะกินระยะเวลาประมาณแค่เดือนเดียว แต่ถ้าศาลเปิดโอกาสให้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เวลาก็จะยาวขึ้นอีก ซึ่งก็แล้วแต่ศาลรัฐธรรมนูญ เราตอบเรื่องนี้ไม่ได้
นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการต่อสู้ในทางกฎหมายและข้อเท็จจริง เราก็ทำให้เต็มที่ แต่ว่าถึงที่สุดแล้ว คิดว่าเราทราบดีว่าสุดท้ายคำวินิจฉัยมันจะออกมานั้น มันไม่ได้เป็นเหตุผลในทางกฎหมายอย่างเดียว มันมีเหตุผลทางการเมือง มีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่กรณี แต่ส่วนกรณีคดียุบพรรคก้าวไกลนั้น ตนคิดว่าทุกคนทราบว่าอาจจะเป็นปัจจัยทางการเมืองเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ
“ตั้งแต่วันแรกตั้งพรรคก้าวไกลผมและคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ถูกตั้งคำถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะถูกยุบพรรค ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลย ดังนั้นทุกคนรู้ว่าเหตุการณ์อย่างนี้มันมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นแน่ๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องการเมือง ดังนั้นในทางคดี ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง สู้เต็มที่ แต่สุดท้ายมันจะจบอย่างไร ปัจจัยทางการเมืองอาจเป็นตัวกำหนดหลักมากกว่า ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นปัจจัยทางการเมืองเปลี่ยนได้ทุกวัน เราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะจบอย่างไร”นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ พรรคก้าวไกลจะแถลงถึงการต่อสู้คดี โดยจะมีการเผยแพร่เอกสารการต่อสู้คดีฉบับเต็ม ซึ่งจะมีรายละเอียดว่าเราสู้เรื่องอะไรบ้าง ส่วนการเสนอพยานหรือการให้มีการไต่สวน ประเด็นไหนที่ยังต้องมีการต่อสู้กันในเชิงข้อเท็จจริง หรือเสนอความเห็นทางกฎหมายเพิ่มเราก็เสนอไป แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับศาลว่าจะเลือกฟังพยานส่วนไหนหรือไม่ เพราะว่าคดีก่อนหน้านี้เราก็เสนอพยานไปเยอะมาก แต่ศาลเลือกมานิดเดียว และเลือกไปแล้วไม่รู้นำไปใช้หรือไม่
ส่วนกรณีที่ กกต.ระบุว่าองค์ประกอบความผิดครบแล้วนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า เรื่องนี้เราสู้ว่ามันมีคดีก่อนหน้านี้ที่สั่งให้เลิกการกระทำ คนจำนวนมากก็อาจจะเข้าใจว่าเมื่อคดีนั้นวินิจฉัยไปอย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วดังนั้นก็น่าจะยุบพรรคได้เลยตามอัตโนมัติ ซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของเราว่าคดีก่อนหน้านี้ที่สั่งให้เลิกการกระทำ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องผูกพันคดีที่กำลังจะวินิจฉัยใหม่นี้ มันต้องดูรายละเอียดดูเงื่อนไขทางกฎหมาย ดูหลักกฎหมายว่าผูกพันหรือไม่ผูกผัน เราเห็นว่าไม่ผูกพัน เมื่อไม่ผูกผันดังนั้นต้องมาวินิจฉัยข้อเท็จจริงกันใหม่
หัวหน้าพรรคก้าวไกล ด้วยว่า คดีที่แล้วเป็นคดีที่เป็นการวินิจฉัยเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดการกระทำ ที่ศาลเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง คือสั่งแค่ให้ยุติการกระทำ พูดง่ายๆ ว่าโทษของมันไม่ได้รุนแรง แต่คดีนี้มันเป็นการขอให้วินิจฉัยเพื่อสั่งให้ยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรค ถือว่าเป็นโทษรุนแรงสูงสุดสำหรับพรรคการเมืองและนักการเมือง ดังนั้นการพิจารณาโทษที่รุนแรงขนาดนี้ มาตรฐานในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง และการกำหนดโทษ มันจะไม่เท่ากับคดีก่อนหน้านี้ มันต้องยึดมาตรฐานสูงกว่า