'สุทิน'เปิดโต๊ะสภากลาโหม ฟังความเห็น ผบ. เหล่าทัพ นิรโทษกรรมคดี ม. 112
“สุทิน” เปิดโต๊ะ”สภากลาโหม- สมช.” ฟังความเห็น "ผบ. เหล่าทัพ" นิรโทษกรรมคดีม.112 ไม่รู้ ทบ. ฟ้อง "ทักษิณ" ยันไม่ล้วง คดีเข้าสู่กระบวนศาลแล้ว
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2567 ที่สนามกีฬากลางสมุทรปราการ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงแนวทางพูดคุยรับฟังความคิดเห็นจากผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อ ร่างกม.นิรโทษกรรม ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา112 ว่า มีระบบการรับฟังอยู่ โดยกฎหมายใดที่เขาสู่สภาฯก็จะถามความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ด้านความมั่นคงต้องถามไปที่เหล่าทัพ ซึ่งกองทัพก็จะมีระบบรับฟังความคิดเห็นของกองทัพอยู่ อย่างน้อยที่สุดเมื่อเรื่องเข้าสู่สภากลาโหม ก็จะฟังผู้นำทางทหาร หรือเมื่อเรื่องเข้าสู่สภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็จะพิจารณาในส่วนความมั่นคงด้วย
เมื่อถามถึง ผลการศึกษาของอนุ กมธ.ฯ นิรโทษกรรม ที่อาจยกเว้นเจ้าหน้าที่ทหารที่ใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง และผู้กระทำผิด ม.112 อาจอยู่ใน25 ฐานความผิดที่ได้นิรโทษ นายสุทิน กล่าวว่า ผลการศึกษาเป็นส่วนที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะมาใช้ประกอบการพิจารณาเท่านั้น ซึ่งอาจจะฟังผลการศึกษาก็ได้ หรือทางสภาฯ อาจจะใกล้ชิดหรือมีมิติที่สัมผัสประชาชนได้มากกว่านั้น ก็อาจไม่เอาผลการศึกษาก็ได้ แต่ในส่วนของร่างกฏหมายของรัฐบาลก็ต้องฟังพรรคร่วมด้วย ซึ่งพรรคร่วมก็ต้องไปถามความเห็นของสมาชิกพรรค ก็จะอกมาเป็นจุดยืนของแต่ละพรรค จากนั้นก็มาคุยกัน
เมื่อถามถึงกรณีพรรคก้าวไกล โจมตี กิจกรรมของกองทัพในการส่งวิทยากรทหารไปบรรยายเรื่องสถาบันหลักของชาตินั้น นายสุทิน กล่าวว่า เขาคิดแคบ ในเรื่องของการศึกษา การปลูกจิตสำนึก และเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติของคน ซึ่งมันมีกระบวนการตามหลักวิชาการในการปลูกฝังค่านิยมอยู่ โดยฝ่ายค้านต้องไปศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งตรงนี้ไม่แปลก และไม่มีปัญหาอะไร จะให้ใครมาเป็นวิทยากรก็ได้ เพราะครูเขาจะมีวิจารณญาณว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ทั้งนี้ตนคิดว่าการเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญเพราะประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ ซึ่งประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ความสำเร็จและความล้มเหลวจากในอดีต เพราะอดีตรับใช้ปัจจุบัน และปัจจุบันเอาไปใช้วางแผนในอนาคต
“ เขาคิดมุมเดียว ในมุมที่ว่าก้าวหน้าอย่างเดียว โดยลืมข้างหลังเพราะเป้าหมายเขาวางไว้ข้างหน้า แม้กระทั่งเรื่องแนวคิดการเคารพพ่อแม่”
ส่วนกรณีที่นางอมรรัตน์ โชคประมิตต์กุล สมาชิกพรรคก้าวไกล บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ทหารที่จะทำเรื่องแบบนี้ นายสุทินกล่าวว่า คำว่าความรู้ได้มาจากทุกแหล่ง ตรงไหนมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญก็นำมาใช้เป็นครูได้ทั้งนั้น ตนจึงเห็นต่างจาก พรรคก้าวไกล ตนคิดว่าใครก็เป็นวิทยากรได้ แต่ขอให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน ทั้งนี้ ตนเห็นว่าทั้ง3 สถาบันถือว่ามีความสำคัญเพราะเป็นโครงสร้างหลักของประเทศ
นายสุทิน ยังกล่าวถึง การสอบถามความคืบหน้าทางคดีที่กองทัพบกฟ้องร้องนายทักษิณ ชินวัตร ตามฐานความผิด ม.112 ว่าไม่เคยถาม ซึ่งก็เป็นเรื่องทางคดีไป ทั้งนี้ตนไม่ทราบว่ากองทัพบกเป็นคนฟ้อง แต่เมื่อฟ้องแล้วก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เขาก็เคารพตามกระบวนการยุติธรรมของทุกฝ่าย เมื่อถามว่าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะไม่เข้าไปล้วงลูกใช่หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ไม่ได้ล้วง และ จะไปล้วงอะไรได้เพราะเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว และไม่ว่าจะเป็นทหารหรือใครก็ไปล้วงไม่ได้ ปล่อยให้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมไป