‘นายกฯ’ ถกหน่วยขึ้นตรงกอ.รมน.จัดงานเฉลิมพระเกียรติ ย้ำ หนุนปราบยาเสพติด

‘นายกฯ’ ถกหน่วยขึ้นตรงกอ.รมน.จัดงานเฉลิมพระเกียรติ ย้ำ หนุนปราบยาเสพติด

"นายกฯ" ถกหน่วยขึ้นตรงกอ.รมน. ขอส่วนราชการ ร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในหลวง แสดงความจงรักภักดี - สามัคคี พร้อมย้ำ กอ.รมน.ร่วมสนับสนุนปราบยาเสพติด ในฐานะหน่วยงานมั่นคง

เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 3 ก.ค.ที่ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารรื่นฤดี สำนักงาน กอ.รมน. ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพฯ  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  ในฐานะผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.กอ.รมน.)เป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน.(วาระพิเศษ) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง  โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย  นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม  นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ  รมว.แรงงาน 
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม  พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)ในฐานะรองผอ.กอ.รมน. พล.อ.อุกฤษฎ์  บุญตานนท์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(ผช.ผอ.รมน.) พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์  เสนาธิการทหารบก ในฐานะเลขาธิการกอ.รมน. พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม  พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  ในฐานะตัวแทนผบ.ตร. พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะตัวแทนผบ.ทร. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย  

 

โดยมีวาระการประชุมเรื่องเพื่อทราบ คือ 1.ความคืบหน้างานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล  ประกอบด้วยการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง ,การบริหารจัดการที่ดินในความครอบครองของกองทัพให้ประชาชนใช้ประโยชน์ , การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจ , การสนับสนุนผู้ป่วยจิตเวชที่เกี่ยวกับยาเสพติด , การป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแรง , การแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กPM 2.5  และ 2. โครงการเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ประกอบด้วย การจัดสรรที่ดินให้ประชาชนจำนวน 72,000 ไร่ การซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนผู้ยากไร้ 720 หลัง และผู้พิการ 720 หลัง สำหรับเรื่องเพื่อพิจารณา ประกอบด้วย แนวทางการดำเนินการรองรับผลกระทบจากผู้หลบหนีเข้าเมืองและแรงงานต่างด้าว และแนวทางการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่มีสถานการณ์รุนแรง 

โดยนายกฯ กล่าวมอบนโยบายว่า วันนี้มีแนวทางในการสั่งการ โดยเดือนนี้เป็นเดือนมหามงคลเฉลิมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ ขอให้ส่วนราชการร่วมกันอย่างเต็มที่ในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี เรื่องความสามัคคี และเรื่องต่อไปคือเรื่องที่เรามาพบกันวันนี้ ในเรื่องยาเสพติดซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลจะวัดผลให้เป็นรูปธรรมให้ได้ภายใน 1 ก.ย.นี้ และจะมีการรายงานผล มีสถิติในแง่การป้องกันและปราบปรามที่สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ทำให้เห็นความพยายามของทุกท่าน แต่ต้องยอมรับว่ายาเสพติดในปัจจุบันยังมีปริมาณมากอยู่ และเป็นงานยากไม่น้อยกว่าการปราบปราม คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม ทั้งทางด้านการบำบัดรักษา เพื่อเปลี่ยนผู้เสพยาให้เป็นพลเมืองที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ พร้อมกลับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและสังคม ขอให้ กอ.รมน. ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจเต็มตามกฏหมายในด้านความมั่นคงภายใน สนับสนุนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเต็มที่สุดกำลังความสามารถ

จากนั้น นายกฯ แถลงข่าวว่า ได้หารือนโยบายที่มอบหมายไปในครั้งที่แล้วทั้งเรื่องที่ดินทำกินของกองทัพที่มอบให้กับประชาชนคนไร้ที่พึ่ง เรื่องการเกณฑ์ทหารแบบระบบสมัครใจ การดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มาจากปัญหายาเสพติด เรื่องน้ำท่วมน้ำแล้ง และปัญหาฝุ่นPM 2.5  ซึ่งได้มีการรายงานว่า ดำเนินการคืบหน้าไปแล้วอย่างไรบ้าง  โดยตนได้สั่งการว่าขอให้ดูแลที่ดินทำกินให้มีมากขึ้น รวมถึงกำลังจะเข้าฤดูฝน ที่อาจจะมีเกิดน้ำท่วมขอให้ดูแลประชาชน พร้อมเตรียมบริหารจัดการปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ภายในปีหน้า

อย่างไรก็ตามเรื่องหลักในวันนี้คือเรื่องของการแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล  มีการติดตามและลงพื้นที่ในหลายจังหวัดในภาคอีสานและภาคเหนือ ใช้จังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดน่านเป็นโมเดลให้เป็นจังหวัดสีขาว ที่ปราศจากยาเสพติด ภายในสามเดือน ซึ่งขอให้มีการทำงานร่วมกันระหว่าง กองทัพ ตำรวจ ปปส กระทรวงมหาดไทย ทำงานอย่างบูรณาการ เพื่อขจัดปัญหานี้ออกไปให้ได้ 

ทั้งนี้การทำให้เป็นพื้นที่สีขาว ไม่อยากใช้คำว่าลุยปราบ เราต้องยุทธศาสตร์และยุทธวิถี ในการจับกุม แต่ต้องมีเบาะแส รวมทั้งการผลิตและจำหน่ายเราก็ต้องกำจัดให้สิ้นซาก รวมถึงการลักลอบยาเสพติดจากสปป.ลาวและเมียนมา ทั้งนี้ในช่วงบ่าย ที่ผ่านมาตนได้มีการหารือกับ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสปป.ลาว กับ เลขา ปปส และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หรือตชด. ให้ร่วมมือกับทางการลาว ให้มีการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการโดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่ไทยมี 12 จังหวัดติดกับชายแดน  ส่วนทางลาวมี 8 แคว้น ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการพูดคุยกับทางการลาวครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ได้มีการพูดคุยกับทางการเมียนมาด้วย แต่จริงๆแล้วพอจะทำนายได้ว่าช่องทางการนำเข้าอยู่ตรงไหน เนื่องจากเป็นเส้นทางภูเขา หรือที่ราบที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปจับกุมได้ ซึ่งแตกต่างจากสปป.ลาว เป็นที่ราบและสามารถนำเรือ เข้ามาได้ทุกช่องทาง 

ส่วนกรณีที่มีการลำเลียงยาเสพติดผ่านระบบโลจิสติกส์  นายกรัฐมนตรี ระบุว่าก็มีการสั่งการและมีการตรวจจับ ซึ่งจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับเบาะแส ซึ่งหากทราบเบาะแสก็สามารถสกัดจับได้  เนื่องจากเป็นส่วนจะต้องมีการขออนุญาตเป็นพิเศษหรือไม่เนื่องจากเป็นการขนส่งของภาคเอกชน นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายอยู่แล้ว  ขณะที่สั่งชายแดนด้านจังหวัดกาญจนบุรี มีการจับกุมได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งปัญหายาเสพติดและปัญหาสินค้าเถื่อน