อดีตผู้สมัคร สว.ยังแห่ร้อง กกต.สอบปมฮั้ว เตือนฝืนประกาศ เจอฟ้อง ม.157
ผู้สมัคร สว.สอบตกยังแห่ยื่นร้อง กกต. ทวงถามความคืบหน้าสอบปมฮั้ว-บล็อกโหวต-คนขาดคุณสมบัติ จี้เปิดหีบพิสูจน์ หนุน สว.ชุดเดิมร่วมสอบด้วย แฉเพิ่มมี ส.ส.ขอนแก่น นัดกินข้าวกับผู้สมัคร สว.ด้วย เตือนถ้าฝืนรับรองจนเสียหาย ต้องรับผิดชอบลาออกยกคณะ จ่อฟ้อง ม.157 แน่
เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังคงมีกลุ่มอดีตผู้สมัคร สว. เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียน และยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมแก่ กกต.เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบปัญหาการเลือก สว. 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นการฮั้ว บล็อกโหวต และกรณีขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามลงสมัคร
โดยในช่วงเช้า พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ผู้สมัคร สว.กลุ่ม 2 กลุ่มกฎหมายฯ ยื่นหนังสือและหลักฐานเพิ่มเติมต่อ กกต. เป็นครั้งที่ 4 และติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามคำร้อง หลังจากก่อนหน้านี้ได้มายื่นขอให้ตรวจสอบความผิดปกติในการลงคะแนนที่พบว่ามีการจัดตั้ง มีการลงคะแนนตามโพย จึงขอให้มีการเปิดหีบพิสูจน์การลงคะแนนว่าเป็นไปตามโพย และคัดค้านการประกาศรับรอง ส.ว. 200 คน และบัญชีสำรอง 100 คน
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. และมายื่นหลักฐานเพิ่มเติมต่อเนื่องจนถึงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ จาก กกต. ตนพยายามหาความเป็นธรรม ไปยื่นคำร้องต่อศาลต่างๆ แต่ศาลก็ยกคำร้อง โดยเห็นว่า กกต.ยังไม่มีการประกาศรับรองผล จึงต้องมาเรียกร้องให้ กกต.ดำเนินการตามพยานหลักฐานที่ได้ยื่นไว้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าบัตรที่อยู่ในหีบรอบเลือกไขว้มีการลงคะแนนตรงตามโพยทุกใบ โดยหลังจากมาเทียบดูแล้ว ผู้ได้รับคะแนนสูงๆ เป็นไปตามโพยทุกประการ วันนี้จึงเอามาให้ กกต. เผื่อ กกต.ทำไม่เป็น จะได้ทำตามที่ตนยื่น รับรองจะเจอข้อเท็จจริงแน่นอน
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวอีกว่า หาก กกต.ไม่ดำเนินการตามที่ร้อง ก็จะมายื่นทุกวัน หรือถ้าไม่สนใจแล้วประกาศรับรอง สว. 200 คนไปโดยไม่ดำเนินการใดๆ จะถือว่า กกต.หลีกเลี่ยงที่จะผดุงความสุจริตและเที่ยงธรรม ตามที่มาตรา 32 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.กำหนดไว้ ซึ่งจะมีโทษตามมาตรา 69 จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท อาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี และอาจโดนไปถึง ม.157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อยากเห็น จึงขอวิงวอนให้ กกต.เปิดหีบบัตรลงคะแนนตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ทุกอย่างกระจ่าง
“มาตรา 59 ของกฎหมายเดียวกันให้อำนาจ กกต.ทั้งในเรื่องจะเลือกใหม่ การจะยับยั้ง หรือแม้แต่บัญชีที่ กกต.ประกาศไปแล้วก็สามารถทำขึ้นใหม่ได้ และมีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย กกต.เปิดหีบบัตรออกมาแล้วพบว่าผู้ได้รับเลือกได้คะแนนมาโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม ซึ่งก็ต้องได้ใบแดงตามที่กฎหมายกำหนด แล้วก็เลื่อนคนที่ได้คะแนนลำดับถัดไปขึ้นมา อาจจะเกินบัญชีสำรองที่ได้ ก็อยู่ในวิสัยที่ กกต.ทำได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจ กกต.ไว้” พล.ต.ท.คำรบ กล่าว
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า การที่ ส.ว.ชุดปัจจุบันตั้งกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบการเลือก สว ในขณะนี้ เพราะผู้สมัคร สว.มายื่นร้องกันในขณะนี้ก็ไม่รู้ว่า กกต.จะรับฟังเท่าไหร่ การที่ สว.เข้ามาช่วยตรวจสอบก็เหมือนเป็นแรงหนุนที่อาจทำให้ความยุติธรรมเพิ่มขึ้นมา
ต่อมา นายยศพัทธร์ ปรมัตถ์กิจการ ผู้สมัคร ส.ว. กลุ่มที่ 9 ผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อสอบถามความคืบหน้ากรณีขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ หรือเงื่อนไขของผู้สมัคร สว.กลุ่ม 9 โดยกล่าวว่า ก่อนการเลือก สว.ระดับประเทศ เคยมายื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร สว.กลุ่ม 9 ทั้งหมด ซึ่งผู้ที่จะสมัครกลุ่มนี้มีกฎหมายเกี่ยวข้องอยู่ 2 ฉบับ คือพระราชกฤษฎีกาปี 2558 ที่กำหนดคุณลักษณะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมว่าต้องมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และกฎกระทรวงที่ระบุลักษณะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในปี 2562 กำหนดว่า คนที่จะมาสมัครกลุ่ม 9 ได้นั้นถ้าเป็นธุรกิจภาคการผลิตต้องมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในระดับอำเภอตนได้เข้าไปดูโปรไฟล์ผู้สมัครแต่ละคน ในแต่ละจังหวัด ปรากฏว่ามีจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบกิจการเข้ามาสมัคร
นายยศพัทธร์ กล่าวว่า มีบางคนที่เขียนในใบ สว.3 ว่าเป็นเจ้าของบริษัท แต่เมื่อไปเช็กดูแล้วเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทนั้นๆ เลย นั่นแสดงว่าคนนั้นไม่ได้เป็นผู้ประกอบกิจการเกิน 10 ปี ทั้งนี้ เมื่อถึงขั้นตอนสมัคร กกต.จังหวัด ไม่ได้มีการให้ยื่นเอกสารประกอบการสมัครว่าคนนี้มีทุนจดทะเบียนเกิน 5 ล้านบาทหรือไม่ หรือเป็นผู้ประกอบการจริงหรือไม่
นายยศพัทธร์ กล่าวอีกว่า เมื่อได้รับเลือกให้มาเลือกในระดับจังหวัดตนก็เคยมายื่นเรื่องนี้ต่อ กกต.กทม. แต่เจ้าหน้าที่แค่รับเอกสารไป ไม่ได้มีการดำเนินการอะไร จนปล่อยปละละเลยให้คนที่ขาดคุณสมบัติ หรือไม่ได้เป็นผู้ประกอบการเข้ามาเลือกคนอื่น เช่น วันนั้นที่ตนอยู่ในเหตุการณ์ มีผู้สมัครที่ได้รับเลือกมีคะแนนผิดปกติ 2-3 คน จากนั้นเพื่อความเป็นธรรมจึงได้ไปยื่นต่อศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง จนศาลมีคำสั่งว่าผู้สมัครไม่มีอำนาจ หรือกฎหมายที่จะไปยื่นให้ตรวจสอบลบรายชื่อผู้สมัครคนอื่น
“ดังนั้น วันนี้ที่ผมมาเพื่อจะยื่นสอบถามความคืบหน้าเรื่องที่เคยยื่นไปก่อนหน้านี้ พร้อมกล่าวโทษผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติ ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 74 พ.ร.ป.ว่าด้วยได้มาซึ่ง ส.ว. คือรู้อยู่แล้วว่าตนเองขาดคุณสมบัติแต่มาสมัครโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีความผิดทางอาญา โทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท และตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี ดังนั้น จึงขอกล่าวโทษให้กับคนกลุ่มเหล่านี้ที่เกาะกลุ่มกันมาแล้วมาเลือกคนอื่น สร้างความเสียหายให้กับประชาชน” นายยศพัทธร์ กล่าว
"อดีตแกนนำพิราบขาว" จี้สอบคนขาดคุณสมบัติ
ต่อมา เมื่อเวลา 11.30 น. วันเดียวกัน นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำพิราบขาว 2006 เข้ายื่นต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับเลือก สว.ทั้ง 200 คน และสำรอง 100 คน โดยกล่าวว่า วันนี้มาร้อง กกต. ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเฉพาะกิจ หรือนิติกร ในการตรวจสอบผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว. โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว.นั้นมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติที่ กกต.ไม่ได้ตรวจสอบอย่างเพียงพอจนมีการปล่อยผ่านเข้ามาจนถึงรอบสุดท้าย โดยนำ 2 ชื่อผู้ที่การรับเลือกมาเป็น สว.จากกลุ่มสตรีที่เป็นบุตรของ สว.ชุดปัจจุบันมีอักษรย่อ อ.เป็นผู้ชาย และ สว.ชุดปัจจุบันอักษรย่อ ท. เป็นผู้หญิง
จากการตรวจสอบยังพบว่ามีบางคนที่ต้องคดีความ บางคนมีหุ้นส่วนในสื่อสารมวลชน คิดว่าความผิดพลาดนี้อาจจะไม่ได้เป็นความตั้งใจของผู้สมัครก็ได้ แต่อาจจะเข้าใจว่าเรื่องข้อห้ามเหล่านี้ไม่มีในข้อกำหนดเลยสมัครเข้ามา เมื่อสมัครมาแล้ว กกต.รับรองว่าเป็นผู้สมัครจึงปล่อยผ่านมาถึงรอบสุดท้าย ซึ่งกรณีที่ยื่นวันนี้มีเอกสาร หลักฐานชัดเจน เพราะไม่ใช่ว่าเราจะตรวจสอบแค่ สว.ใหม่ แต่เรายังมีการตรวจสอบ สว.เก่าที่เชื่อมโยงกับ สว.ใหม่ด้วย ปัญหาเหล่านี้มีความทับซ้อนกันมา ฉะนั้นจึงอยากให้ กกต. พิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติของ สว.ใหม่อย่างเร่งด่วน และการที่ว่าปล่อยผ่านแล้วมาสอยทีหลังเป็นความเสียหายมาก
นายนพรุจ กล่าวอีกว่า ให้ กกต.ตั้งคณะตรวจสอบเฉพาะกิจ ไปขอความร่วมมือจากสภาทนายความก็ได้เพื่อมาตรวจสอบ แต่อย่าเพิ่งรับรอง สว.ใหม่ เพราะถ้ารับรองไปแล้ว กกต.เองอาจจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด และอาจถึงขั้นรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งคณะ เพราะความเสียหายวันนี้ส่อให้เห็นถึงปัญหาต่างๆ กกต.จึงต้องมีบทบาทในการตรวจสอบ และการรับรองที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ เราอยากเห็นองค์กรอิสระมีประสิทธิภาพ เราก็เป็นห่วงอยากเห็นบทบาทองค์กรอิสระมากกว่านี้
"ทนายอั๋น" ร้อง กกต.ขยายผล ส.ส.ขอนแก่นนัดกินข้าวผู้สมัคร ส.ว.
วันเดียวกัน นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ "ทนายอั๋น บุรีรัมย์" ยื่นคำร้องต่อกกต.เพื่อให้ขยายผล และเอาผิด ส.ส.รายหนึ่ง นัดทานข้าวกับผู้สมัคร สว.ที่ จ.ขอนแก่น อาจเข้าข่ายฮั้วการเลือก สว. โดยกล่าวว่า มีผู้สมัคร สว. ได้ยินมาว่าเป็น สว.สายภาคอีสานเข้าร่วมทานข้าวกับ ส.ส. โดยมีการยื่นเสนอตำแหน่งผู้ช่วย สว. ให้กับผู้สมัคร สว. มีการพูดคุยทางโทรศัพท์ ซึ่งปลายสายอ้างว่าเป็นเจ้าพ่อเขากระโดง และเป็นถึงรัฐมนตรี ตนจึงขอให้ กกต.ขยายผลว่าเจ้าพ่อเขากระโดงเป็นใคร มีบทบาทอย่างไรกับการเลือก สว. ซึ่ง กกต. มีอำนาจขอหลักฐานบันทึกรายการการสนทนาผ่านโทรศัพท์ของ ส.ส.รายดังกล่าวได้ผ่าน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ในวันดังกล่าว
นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาให้สัมภาษณ์หลังนายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ถูกพาดพิงว่า เป็นเพียงแค่ ส.ส.ขอนแก่น ตนจึงไม่แน่ใจว่านายอนุทิน ดูถูกคนอีสานหรือไม่ แต่เดิมนายอนุทิน ก็ไม่ใช่คนบุรีรัมย์ แต่ทำไมถึงโอนตัวตนไปอยู่บุรีรัมย์ ถ้าตนเป็นนายอนุทิน จะไม่เล่นการเมือง ไม่เข้าสู่ระบบของใครบางคน ทั้งนี้ในอีก 2-3 วันข้างหน้าได้เตรียมที่จะสอยว่าที่ สว.ในกลุ่มสื่อสารมวลชน อย่างน้อย 3-4 คนด้วย หลังจากที่มีการประกาศรับรอง สว.
นายภัทรพงศ์ กล่าวด้วยว่า หาก กกต.ฝืนประกาศรับรองผล ทั้ง 77 จังหวัดได้จองกฐินเตรียมดำเนินคดีกับ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ตามมาตรา 157 ตนเดาว่าเลขาธิการ กกต.ไม่กล้าประกาศผลรับรองในช่วงนี้ เพราะมี กกต.หลายคนไม่เอาด้วย เหตุการณ์ตอนที่เขาหน้าหนาจะย้อนกลับมาอีกครั้ง หรือไม่ แต่สุดท้ายหน้าจะหนาหรือใหญ่มาจากไหนก็ติดคุกกันทั้งนั้น