เช็คลิสต์ 21 ผลงาน ‘เพื่อไทย’ ลุ้นเรตติ้ง ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ

ยุทธศาสตร์ “รัฐบาลเพื่อไทย” ให้ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขับเคลื่อนงานพรรคควบคู่ กับการเดินเกม “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างกระแสสะสมแต้มในการเมืองท้องถิ่นเพื่อปูทางรอวันเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570

ยุทธศาสตร์อีก 1 ขาใช้นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” และขุนพลเสนาบดีด้านเศรษฐกิจ เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เพื่อสร้างเป็นผลงานเอาไว้ชูตอนหาเสียงกับประชาชนว่า รัฐบาลเพื่อไทยสามารถทำให้คนไทย “มีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ได้

ว่ากันว่า “นายกฯ เศรษฐา” เอง และคนในรัฐบาลก็มีความมั่นใจว่า คดีในศาลรัฐธรรมนูญที่ตีความสถานะนายกฯ นั้นไม่น่าจะส่งผลสะเทือนให้ถึงกับหลุดตำแหน่งนายกฯ หมายเลข 30 ได้

เพียงแต่การรับคำร้องตีความของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมส่งผลสะเทือน เกิดความเสียหายในแง่การลงทุน และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้ารอดจากคำวินิจฉัยดาบใหญ่ของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตัวรัฐบาลและนายกฯ ก็มั่นใจว่ามีโอกาสได้ใส่เกียร์เดินหน้าบริหารประเทศให้อยู่ยาวถึง 4 ปี เพราะหากเร่งรีบเลือกตั้ง ณ ตอนนี้ ก็ยิ่งเพลี่ยงพล้ำ เพราะยังสู้กับพลังกระแส “พรรคสีส้ม” ไม่ได้

ดังนั้น การปั้นผลงานทางเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ “พรรคเพื่อไทย” ต้อง “คิดใหญ่” และ “ทำให้เป็น” ตามม็อตโต้ที่เคยประกาศไว้

ล่าสุดรัฐบาลเปิดทำเนียบฯ โชว์รายละเอียดให้ประชาชนเข้าร่วมลงทะเบียนเพื่อใช้เงินหมื่น “ดิจิทัลวอลเล็ต” ได้ในช่วงวันที่ 1 ส.ค. ถึง 15 ก.ย. 2567 และมีกำหนดการที่จะให้เริ่มใช้จ่ายในโครงการฯ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 โดยสามารถลงทะเบียนได้ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” บนสมาร์ตโฟน

“เพื่อไทย”หวังคิกออฟให้เห็นเป็นรูปธรรม หลังต้องชะลอโครงการมาเป็นเวลา 1 ปี เพราะแจกเงินหมื่น เป็นหนึ่งในแผนนโยบายสำคัญที่พรรคชูธงหาเสียง “เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส”ไว้

“ดิจิทัลวอลเล็ต” เป็น “เรือธง” สำคัญในการแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทยที่ตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพมากว่า 10 ปี

โดยรัฐบาลจะใช้การขับเคลื่อน “ดิจิทัลวอลเล็ต” ฟันฝ่าเสียงคัดค้าน เดินหน้าขยายโอกาสให้กับประชาชนในทุกกลุ่มอาชีพที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วทุกพ้นที่ และสร้างฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประชาชน

ยิ่งเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอย การลงทุนอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพมานาน ประเทศไทยมีสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพี (เฉลี่ยปี 2014-2019) ในร้อยละ 23.6 ต่ำกว่า อินโดนีเซีย ร้อยละ 32.5 เวียดนาม ร้อยละ 30 เกาหลีใต้ ร้อยละ 29.9

รวมทั้งเศรษฐกิจยังถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตโควิด-19 ทำให้การฟื้นตัวยังช้ากว่าประเทศในภูมิภาคอาเซียน

ภาพใหญ่ของ “เพื่อไทย” ใช้ “รัฐบาล”เร่งปั้นผลงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และอีกทางหนึ่งจะใช้ สส.ของพรรคลงพื้นที่ชี้แจงกับประชาชนเพื่อนำเสนอผลงานรัฐบาลในเชิงยุทธศาสตร์

ขาแรกใช้ “เพื่อไทย” คิด และส่งต่อให้ขาที่สองคือ “รัฐบาลเศรษฐา” ทำด้วยการสร้างผลงานให้เกิดขึ้นจริง ส่วนอีกขาที่สาม ก็จะใช้แรงของ สส.ในพื้นที่สื่อสารกับประชาชน 

โดยผ่านยุทธศาสตร์ “เพิ่มรายได้” 6 ประเด็น คือ 1.การต่างประเทศเชิงรุก 2.เพิ่มราคาสินค้าเกษตร 3.ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว 4.เร่งการลงทุน 5.เพิ่มรายได้ประชาชนโดยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือน 6.ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

ยุทธศาสตร์ “ลดรายจ่าย” 4 ประเด็น 1.ลดค่าใช้จ่ายพลังงาน 2.พักหนี้เกษตรกร 3.แก้หนี้ประชาชน 4.ปราบอาชญากรรมออนไลน์

ยุทธศาสตร์ “ขยายโอกาส” 11 ประเด็น 1.ขับเคลื่อนดิจิทัลวอลเล็ต 2.ยกระดับบริการสาธารณสุข 30 บาทรักษาทุกที่ดำเนินการแล้ว 40 จังหวัด 3.แก้ปัญหายาเสพติด 4.แก้น้ำกิน-น้ำใช้ทั้งระบบ 5.เร่งรัดออกโฉนด 6.แก้วิกฤต PM2.5 ที่ต้นตอ

7.ผ่านกฎหมายฉบับสำคัญ 8.ปรับลดกำลังกองทัพอย่างมีขั้นตอน 9.การคมนาคม ลดภาระประชาชน สร้างอนาคตประเทศไทย 10.รับมือวิกฤตทันการณ์ เพื่อความเชื่อมั่นประเทศไทย และ 11.หวยเกษียณ กระตุ้นการออมแบบสมัครใจแก้ปัญหาคนไทยแก่คนไม่มีเงินเก็บ

โดยเฉพาะ “หวยเกษียณ” จะเป็นอีกหนึ่งผลงาน “ประชานิยม”ที่รัฐบาลต้องเข็นให้ได้ ด้วยหลักการ ซื้อสลาก ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย กลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ซึ่งรัฐบาลวางไทม์ไลน์เฟสแรกจะเริ่มต้นได้ในต้นปี 2568

ทั้งหมดนี้คือ 21 ผลงานสำคัญ “เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” ผ่านนโยบายเชิงรุกด้วยการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของ “รัฐบาลเพื่อไทย” พร้อมให้ สส.ช่วยกระตุ้นในพื้นที่อีกหนึ่งแรง

หากทำได้ทั้งหมด หรือเกือบหมด ได้สำเร็จ ย่อมเป็นผลงานของ “เพื่อไทย” การันตีไว้ขายในสนามเลือกตั้งกับประชาชนได้อีก 

แต่หากไม่สำเร็จเสียส่วนใหญ่ คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน อาจถูกแปรเปลี่ยนเป็น “ความนิยมที่ลดลง” ผ่าน “บัตรเลือกตั้ง” จนอาจกลับมายืนหนึ่งได้ยาก