'ทักษิณ' สื่อสาร เสื่อมมนต์ขลัง? 'นันทนา' เปิดตำราสื่อสารการเมือง
รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สว. กลุ่มสื่อสารมวลชนฯ เปิดตำราหลักสูตร "สื่อสารการเมือง" วิเคราะห์ถึงเทคนิคการสื่อสารของผู้นำทางการเมือง "ทักษิณ-แพทองธาร-พิธา" รวมถึงการหาเสียงของพรรคการเมือง สื่อสารแบบไหนให้โดนใจประชาชนและพูดแบบไหนให้ล้มละลายทางการเมือง
KEY
POINTS
- รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สว. นักพูดชื่อดัง ผู้บุกเบิกหลักสูตรสื่อสารการเมือง ม.เกริก ตั้งแต่ปี 2548 เปิดเทคนิคสื่อสารการเมืองอย่างไรให้ชนะใจประชาชน
- เจ้าของหนังสือ "ชนะเลือกตั้ง...ด้วยพลังการตลาด" ว่าด้วยชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายของ "พรรคไทยรักไทย" ในยุคที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ประสบความสำเร็จ
- ยกการสื่อสารของนักการเมืองที่ให้คำสัญญาเป็นเพียงเทคนิคหาเสียง ในทางการเมืองล้มละลายทางศรัทธา
- การสื่อสารทางการเมืองในยุคไทยรักไทยประสบความสำเร็จด้วยการสื่อสารไปถึงประชาชนด้วยรายการนายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน
- ยุคปัจจุบันการสื่อสารที่ "ทักษิณ ชินวัตร" ใช้กลับไม่มีมนต์ขลังอีกแล้ว
- "แพทองธาร ชินวัตร" ยังไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำที่ชัดเจนยืนหนึ่งได้ โดยไม่มี "ทักษิณ"
- การสื่อสารของ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ครบเครื่องเอาชนะใจประชาชนได้
ประกาศจุดยืนว่าเป็น "สว.พันธุ์ใหม่" สว.สายสีส้ม ที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง "เสรีนิยม ก้าวหน้า" แม้จะพลาดตำแแหน่งประธานวุฒิสภา รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส สว. กลุ่มสื่อสารมวลชนและผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม ก็ยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ สว.พันธุ์ใหม่
ในฐานะเป็นผู้บุกเบิกหลักสูตรสื่อสารการเมือง หลักสูตรแรกในประเทศไทยที่ มหาวิทยาลัยเกริก และเป็นคณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ตั้งแต่ปี 2548 ผลิตบัณฑิตออกไปเป็นดารา นักการเมืองท้องถิ่น สส. รัฐมนตรี มานับไม่ถ้วน
จุดเริ่มต้นตัวตนของ "นันทนา" ที่ทำให้สนใจการเมือง และมีทักษะการสื่อสารเริ่มต้นจากชั้นมัธยมฯ เพราะเคยเป็นนักโต้วาที
เมื่อเอนทรานซ์ติด ม.ธรรมศาสตร์ เธอก็ยังให้ความรักกับการโต้วาทีด้วยการเข้าไปอยู่ในชุมนุมปาฐกถาและโต้วาที และวันหนึ่ง "กรรณิการ์ ธรรมเกษร" ก็ติดต่อให้ไปออกรายการ ทีวีวาที จุดเริ่มต้นนักพูด จึงเริ่มมานับแต่วินาทีนั้น
"ก่อนหน้านี้มีนักการเมืองเรียกว่าดาวสภา มาจากประชาธิปัตย์ เช่น สมัคร สุนทรเวช วีระ มุสิกพงศ์ มีวีระ สมัคร ปิยะณัฐ วัชราภรณ์ รู้สึกว่าคนเป็นนักการเมืองเขาเก่งจังเลย เข้าไปในสภาแล้วพูดเก่ง คุณเฉลิม อยู่บำรุง ด้วย สมัยก่อนพวกนี้คือดาวของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนั้น"
"ทักษิณ-ไทยรักไทย" ใช้พลังการตลาด
"นันทนา" เจ้าของผลงานหนังสือ "ชนะเลือกตั้ง...ด้วยพลังการตลาด" ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี2544 และปี2548 การชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายของ "พรรคไทยรักไทย" ที่มีนักธุรกิจทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้นคือ "ทักษิณ ชินวัตร"
เมื่อถามว่า "ทักษิณ" เคยประสบความสำเร็จในเรื่องการใช้พลังทางการตลาดทางการเมือง หากมองดู ณ ปัจจุบัน ภูมิทัศน์ทางการเมืองเปลี่ยนหรือไม่สำหรับพรรคเพื่อไทย "นันทนา" ตอบทันทีว่า "คุณทักษิณเป็นนักการเมืองในยุคทศวรรษ 2540 ช่วงพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งในปี 2544 ทศวรรษนั้นเป็นทศวรรษของคุณทักษิณ เป็นนักการเมืองที่ใช้บุคลิกภาพในการสื่อสารโน้มน้าวใจคนได้สูงด้วยเนื้อหาที่สื่อสารไปก็คือตัวนโยบายที่สามารถจะผลักดันและทำได้จริง เครื่องมือการสื่อสารที่ใช้กลไกต่างๆ ในการสื่อสาร เพื่อเอาสารไปถึงประชาชน เป็นผู้ริเริ่มการจัดรายการนายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน"
"เพราะเขารู้ว่า ชาวบ้านที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยไปทำนา จะแบกโทรทัศน์ไปเหรอ ก็ไม่ใช่ เขาก็สะพายวิทยุทรานซิสเตอร์ แล้วนั่นก็คือการสื่อสารถึงประชาชน อันนี้เป็นต้นแบบการสื่อสารทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จ โดยใช้กลยุทธ์การตลาดเอาตัวนโยบายเข้าไปขับเคลื่อน"
"ทักษิณ"เสื่อมมนต์ขลัง-สื่อสารในโลกยุคใหม่
"นันทนา" อธิบายถึงเหตุที่ทำให้ "ทักษิณ"ถึงไม่ได้ประสบความสำเร็จเหมือนเมื่อกว่า 20ปี ก่อนว่า บริบทต่างกัน เทคโนโลยีการสื่อสารเปลี่ยนไป เพราะปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย ทั้ง youtube tiktok shorts ทวิตเตอร์
"สิ่งที่คุณทักษิณทำ ณ ตอนนี้ มันเอ้าท์ไปหมดเลย คุณทักษิณไม่ได้อยู่ในกระแสโซเชียลฯ ทำให้คนจำนวนมากไม่รู้ลุงคนนี้มาทำอะไร แล้วยิ่งคนรุ่นใหม่ไม่รู้คุณทักษิณมีคุณูปการต่อประเทศชาติ แต่วันนี้มาพบว่า คุณทักษิณเป็นนักโทษที่ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว นี่คือสิ่งที่คนจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้รักคุณทักษิณ แต่เขารู้สึกว่าสิ่งที่คุณทักษิณทำมันเป็นอภิสิทธิ์ มันไม่ได้ถูกใช้กับทุกคน คุณทักษิณไม่ใช่นักการเมืองที่ประชาชนจะโอบอุ้ม เพราะคุณทักษิณใช้อภิสิทธิ์ของตัวเองในการอุ้มตัวเอง ประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่คุณทักษิณทำ"
"คนจำนวนมากที่ยังอยู่ในคุกไม่ได้ประกันตัว เยาวชนจำนวนมากต้องติดคุกโดยที่ไม่ได้สิทธิประกันตัว ไม่ได้สิทธิออกมารักษาข้างนอก จนบางคนเสียชีวิตไป นั่นคือการรับรู้ของคน เพราะฉะนั้นคุณทักษิณไม่มีมนต์ขลังอีกแล้ว"
แกนนำ สว.พันธุ์ใหม่ เตือนการสื่อสารถึงผู้นำจิตวิญญาณแห่ง "เพื่อไทย"ว่า ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ตัวเองทำนั้นทำลายความเชื่อมั่นของผู้คน เพราะไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกศรัทธา
จุดอ่อน"แพทองธาร" สลัดภาพ "ทักษิณ" ไม่ได้
ถามว่า "แพทองธาร ชินวัตร" หัวหน้าพรรคเพื่อไทยหรือ "เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี สามารถกู้ศรัทธากลับคืนให้กับ "เพื่อไทย" ได้หรือไม่ "นันทนา" ระบุว่า ใแง่การส่งผ่านมาถึงทายาทโดยคุณแพทองธาร ในระยะแรกๆ ตอนคุณทักษิณยังไม่กลับมาก่อนเลือกตั้งปี 2566 "แพทองธาร" มีคะแนนนิยมสูงมากอันดับ 1 แทบทุกภาค แต่พอคุณทักษิณกลับมา ทำให้ภาพของ "แพทองธาร" เป็นเสมือนโฆษกของคุคณทักษิณ คือออกมาปกป้องบิดาของตัวเองทุกวิถีทาง ทำให้ภาวะความเป็นผู้นำของ "แพทองธาร" ยังไม่เกิด
"กลายเป็นว่าคุณแพทองธารก็ไม่ได้มีภาวนะผู้นำจริง อย่างที่คุณทั่วไปเข้าใจ แอบอยู่ข้างหลังเงาของคุณทักษิณ มันก็เลยพากันเรียกว่าไม่ประสบความสำเร็จทั้งคู่เลย เพราะว่าตัวคุณทักษิณ คนทั่วไปเข้าใจแล้วว่าเจาะช่องกระบวนการยุติธรรมให้ตัวเองรอดคนเดียว คนอื่นๆ ที่แม้จะเป็นเสื้อแดงที่ยังถูกจำคุก ก็ยังต้องอยู่ไป แต่ยังไม่มีการช่วยเหลือ ในขณะที่คุณแพทองธารก็ไม่ได้แสดงความเป็นผู้นำที่ชัดเจนจนสามารถที่จะขึ้นมายืนหนึ่ง โดยที่ไม่มีคุณทักษิณได้ อันนี้จะกลายเป็นว่าภาพไม่ค่อยชัดเท่าไร สำหรับภาพผู้นำพรรคการเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2"
ยก "พิธา" สื่อสารการเมืองครบเครื่อง
เมื่อถามถึงนักการเมืองที่สื่อสารทางการเมืองแล้วประสบความสำเร็จ "นันทนา" สว.หัวใจสีส้ม ตอบทันทีว่า "คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลค่ะ คุณพิธา ครบเครื่องความรู้มีชัดเจน จุดยืนมั่นคง แล้วก็บุคลิกภาพการนำเสนอเราจะเห็นว่าเป็นนักการเมืองที่สื่อสารแล้วคนจะนั่งฟังด้วยความเข้าใจและประทับใจ สุดท้าย เขาก็สามารถกุมใจประชาชนได้"
"โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งปี 2566 ทำไมพรรคก้าวไกลถึงได้แซงโค้งพรรคเพื่อไทยขึ้นมา ผลการเลือกตั้งออกมา คนยังไม่เชื่อเกิดขึ้นจริง อันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มันมีบุคลิกภาพของคนเป็นผู้นำพรรค อย่างคุณพิธาที่ยืนหนึ่งทุกเวที ไปดีเบตทุกเวที แล้วโชว์เรื่องความรู้ความสามารถเทคนิคการสื่อสาร จนทำให้คนมีความรู้สึกประทับใจ แล้วคุณพิธาก็จบจาก ม.ฮาร์วาร์ด วิทยาลัยการปกครองเคนเนดี มีหลักสูตรสื่อสารการเมือง"
หากจะเอ่ยถึงนักการเมืองอีกคนที่สื่อสารและโน้มน้าวใจคนได้ดี "นันทนา" ยกให้ "ไอติม" พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เพราะเป็นคนที่มีความรู้ เวลาสื่อสารชัดเจน ภาษาไทยชัด ความรู้ชัด และเวลาพูดมีประเด็นชัด ทำให้คนฟังเขาแล้วรู้สึกมีความเชื่อมั่น
เตือนนักการเมือง การกระทำดังกว่าคำพูด
"นันทนา" บอกถึงคนที่จะไปเป็นนักการเมือง จำเป็นที่จะต้องเรียนสื่อสารการเมือง Political Communication ด้วยเพราะเป็นวิชาสำคัญ ในการปรากฏตัวต่อที่สาธารณะโดยเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีในสหรัฐอเมริกา แต่ในประเทศไทยไม่มี ทำให้ตนเองคิดว่าควรนำหลักสูตรนี้มาพัฒนานักการเมืองไทย
ถามย้ำถึงเหตุที่ "พรรคเพื่อไทย" ไม่ประสบความสำเร็จกับการสื่อสารทางการเมืองในโลกยุคใหม่ "นันทนา" ระบุว่า "การกระทำเสียงดังกว่าคำพูด เพราะฉะนั้นถึงแม้คุณจะสื่อสารดีแค่ไหนก็ตาม แต่มันตรงข้ามกับพฤติกรรม มันไม่ได้ทำให้คนเชื่อถือค่ะ การพูดและการกระทำต้องไปในทิศทางเดียวกัน"
"ถ้าคุณพูดแล้วคุณกระทำในทิศทางอย่างนั้น เสียงจะยิ่งดังขึ้น เพราะมันส่งเสริมซึ่งกันและกัน ถ้าบอกว่าเรามีอุดมการณ์แบบนนี้แล้วเราพูดไปมีอุดมการณ์แบบนี้ แล้วเมื่อการกระทำมันก็สอดคล้องกันไป มันก็จะทำให้คนเชื่อถือตรงนั้น นี่คือการสื่อสาร"
"ถ้าคุณได้แต่พูด แต่ไม่ได้ทำ หรือทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณพูด คนเขาจะเชื่อสิ่งที่คุณทำมากกว่าสิ่งที่เป็นการพูด เพราะฉะนั้นตรงนี้เสียหายแน่นอน"
"นันทนา" เตือน "นักการเมือง" ทั้งรุ่นเก๋าและรุ่นใหม่ว่า "นักการเมืองคนไหนก็ตาม ที่บอกว่าการหาเสียงนั้นเป็นเทคนิค การได้มาซึ่งคะแนนเราไม่ได้ทำจริงตามนั้น อันนั้นคือ พังพินาศ เพราะว่าเวลาที่นักการเมืองไปขอเสียงจากประชาชน นักการเมืองไม่มีอะไรไปให้ประชาชน นอกจากสัญญาว่าจะทำอะไร แล้วถ้าประชาชนเขาไปเลือกแสดงว่าเขาเชื่อมั่น นักการเมืองไม่ได้ให้อะไรเขา นอกจากความหวัง"
"ถ้าเผื่อว่าวันหนึ่ง คุณบอกว่าสิ่งที่คุณสัญญาเป็นเพียงเทคนิคหาเสียง ความเชื่อมั่นจะพินาศลงไปทันที แล้วในทางการเมืองเขาเรียกว่า ล้มละลายทางศรัทธา ไม่ว่าต่อไปข้างหน้าคุณจะส่งใครมาลง ประชาชนก็จะจดจำและจะไม่เลือก"
แนะนักการเมืองศึกษา "สื่อสารการเมือง"
แต่หากนักการเมืองเลือกที่จะไม่สื่อสาร เก็บตัวปฏิเสธหรือหลบสื่อนั้น "นันทนา" ระบุว่า "ดิฉันเคยพูดเสมอว่านักการเมืองไม่ชอบออกสื่อ ไม่ชอบสื่อสาร ดิฉันแนะนำให้เปลี่ยนอาชีพไปบวชค่ะ ไปเป็นพระค่ะ เพราะว่าเป็นนักการเมืองต้องเสนอหน้า ต้องเสนอหน้าต้องออกสื่อ ต้องสื่อสารต้องยืนข้างหน้าของประชาชนต้องเป็นผู้นำ ประชาชนมีปัญหาพาเขาไป ต้องยืนนำหน้าเขา แล้วพาเขาสู่การแก้ไขปัญหา จะไปหลบอยู่ข้างหลังจะไม่พูด จะไม่สื่อสารอันนั้นไม่ใช่นักการเมือง"
"นักการเมืองต้องเสนอหน้าต้องสื่อสาร ต้องสร้างภาพจำให้กับประชาชน นักการเมืองต้องโฆษณาตัวเอง ประเภทที่บอกว่าเราปิดทองหลังพระ อันนั้นอย่าเป็นนักการเมืองค่ะ เพราะว่าสุดท้ายแล้วคุณไม่สามารถที่ให้ใครรู้จักคุณได้ ไม่มีคนรู้จักคุณจะชนะเลือกตั้งได้อย่างไร"
"นันทนา" ย้ำว่า การสื่อสารทางการเมืองเป็นศิลปศาสตร์ มีทั้งศาสตร์และศิลป์ มีองค์ความรู้ที่เป็นทฤษฎีอยู่ ดังนั้นผู้มาเป็นนักการเมืองควรต้องศึกษา
"บางคนได้ศาสตร์ไปประยุกต์ไม่เป็นก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าได้ศาสตร์ไปแล้วประยุกต์เก่งด้วย ก็จะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น มันเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ บางคนเริ่มต้นจากการที่พูดไม่ได้เลย ไม่กล้าพูดเลย แต่หลังจากที่ฝึกฝนไปก็เป็นนักพูด เป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จได้ ดังนั้น คนที่เป็นนักการเมืองต้องสื่อสารเก่ง และมีภาวะผู้นำสูง"