'พิธา' ไม่กังวล ชี้ชะตายุบก้าวไกล7ส.ค. ยันไร้มติเทคโอเวอร์ 'ถิ่นกาขาว'
“พิธา” ปัดปลุกมวลชน ยัน ไม่ขอก้าวล่วงคำวินิจฉัยคดียุบก้าวไกล7ส.ค. ปัดแผนสำรอง ไร้มติเทคโอเวอร์ "ถิ่นกาขาว" พร้อมมั่นใจสส.เป็นปึกแผ่น ทำงานตรวจสอบรัฐบาลเหมือนเดิม
ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวปิดคดียุบพรรค ว่า การตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล มีเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคที่เคยถูกยุบในอดีต ไม่มีระเบียบข้อบังคับ กฎหมายของกกต.ในการรวบรวมพยานหลักฐานในการยุบพรรค โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคแรกที่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้นจึงเป็นเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกล กับคดีของพรรคอื่นๆที่ผ่านมา
ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 มีพรรคการเมืองถูกยุบไปทั้งหมด 33 พรรค มีนักการเมืองถูกตัดสิทธิไปอย่างน้อย 249 คน และมีการยกคำร้องประมาณ14ปีที่แล้ว เป็น1ใน 34 พรรคที่รอด พรรคนั้นรอดไม่ถูกยุบและยกคำร้องเพราะกระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากนายทะเบียนไม่ได้ทำตามที่ระเบียบของกกต.ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้กระทั่งการชี้แจง ซึ่งเป็นการเสียโอกาส และจากการตรวจสอบหลักฐานก็พบว่ามีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลอยู่จำนวนมากด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้มองว่า หากกกต.ทำตามระเบียบที่ออกมาเมื่อก.พ.2556 ก็จะคงจะได้อธิบายให้กกต.ให้รับทราบ พร้อมขอบคุณ นายสุรพล นิติไกรพจน์ ที่เป็นหลักในการอธิบายกฎหมาย และออกมาเป็นไปตามข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล
นายพิธา ยังกล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลเห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น เป็นการนำองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ระบอบประชาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัติรย์มาดำรงอยู่คู่กัน
การปกปักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจด้วยการกดปราบ ไม่ว่าจะกดปราบจากการใช้กำลัง และกฎหมาย มีแต่ต้องสร้างสมดุลให้ได้สัดส่วนเหมาะสมกับยุคสมัย เพื่อให้ระบอบนี้มั่นคงยั่งยืน ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
เพราะหลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นความจงรักภักดี เข้ามากล่าวหาโจมตีทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการทำรัฐประหารโดยกำลังทหารและกฎหมาย รวมถึงมีการบังคับใช้ กฎหมาย ม.112 อย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
สส.พรรคก้าวไกลจึงเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข ม.112 ด้วยมีเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของสถรบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประขาธิปไตยของประเทศไทย
จากนั้นในช่วงตอบคำถามสื่อมวลชน ผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ นายพิธา กล่าวว่า ตนเองคงไม่ขอก้าวล่วงประเมินไปข้างหน้า แต่มั่นใจในข้อเท็จจริง และมั่นใจในเรื่องของข้อกฎหมายที่อธิบายไปแล้ว
นายพิธา กล่าวต่อว่า เราไม่สามารถก้าวล่วง หรือคาดเดาสิ่งที่เป็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือการยืนยันข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายทางของเรา และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความยุติธรรม เหมือนพรรคหนึ่ง ที่เคยได้รับมาเมื่อ 14 ปีที่แล้ว รวมถึงบรรทัดฐานในการพิจารณาเป็นไปตามหลักสากล และการประชุมเอเชียที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้าของศาลธรรมนูญไทยด้วย ก็ทำให้รู้สึกมั่นใจ ซึ่งตนเองไม่กังวลตามเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินตามข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ตามที่ได้ยินข่าวมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายล้วน ๆ
เมื่อถามว่า หากผลการตัดสินไม่เป็นคุณ จะทำอย่างไรต่อ นายพิธา กล่าวว่า มีคิดไว้แต่ยังไม่ถึงถึงเวลาตอนนี้เราโฟกัสในการใช้เวลาวันเสาร์ ถึงวันพุธ ในการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเราอย่างเต็มที่ โดยในวันพุธตอนเช้า ตนเองยังมีคิวอภิปรายเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ขนส่งสาธารณะ และทำหน้าที่อย่างมีสมาธิ กับสิ่งที่พี่พี่น้องประชาชน 14 ล้านคน เคยให้คะแนนเสียงมา ก็ยังทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกว่าเสียสมาธิ หรือต้องทำอะไรเป็นพิเศษ
นายพิธา กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชน ภายหลังจากตัดสินคดี ว่า ตนเองไม่สามารถคาดเดาแทนที่พี่น้องประชาชนได้ หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี และแน่นอนว่า การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมเป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถทำได้ ในระบอบประชาธิปไตยที่ไร้ความรุนแรง พรรคก้าวไกลจะไม่เป็นส่วนร่วมในการสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกลแน่นอน
นายพิธา กล่าวว่า กิจกรรมในวันที่ 7 สิงหาคม ณ ที่ทำการพรรค ไม่ได้เป็นการปลุกมวลชน แต่เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนมาโดยตลอด ทั้งสมาชิกพรรค และเจ้าหน้าที่พรรค
นายพิธา กล่าวถึงการหาพรรคสำรอง หลังมีกระแสการดีลพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ว่า ยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ตอนนี้โฟกัสการสู้คดีเรื่องการยุบพรรค เมื่อถึงเวลาตอนนั้น คงพูดคุยอีกที แต่ตอนนี้พรรคยังไม่มีมติใด ๆ ทั้งสิ้น หากคำตัดสินไม่เป็นคุณ ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคใหม่แล้ว คงตอบแทนไม่ได้ แต่ยังเชื่อว่าในวันพฤหัสบดี จะทำหน้าที่ให้สภาผู้แทนราษฎรเหมือนเดิม
นายพิธา ยืนยันว่า สส. ของพรรคยังรักษาความเป็นปึกแผ่นเหมือนเดิม ไม่มีตามที่มีกระแสข่าว และมีการพูดคุยถึงเรื่องการทำงานเพื่อตรวจสอบรัฐบาลเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต้องห่วง