‘ปิยบุตร’ ชำแหละประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต พรรคใหม่ต้องได้เกิน 250 สส.ไปต่อรอง
‘ปิยบุตร’ ชำแหละประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต เผย ‘พรรคใหม่สีส้ม’ ต้องได้ฉันทามติจากประชาชน เอาเสียงข้างมากให้เกิน 250 สส.ก่อนไปต่อรองทางการเมืองจัดตั้งรัฐบาล ชี้คำวินิจฉัยศาล รธน.ล่าสุด กระเทือนสถาบันฯ
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2567 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “คมชัดลึก” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ “เนชั่นทีวี 22” ตอนหนึ่งถึงผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ยุบพรรคก้าวไกลวานนี้ (7 ส.ค.) เท่ากับปิดประตูการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เลยใช่หรือไม่ ว่า การแก้ไขมาตรา 112 ยังทำได้อยู่ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าห้ามรณรงค์ข้างนอก ห้ามยกเลิก นั่นคือแก้ได้ แต่ห้ามรณรงค์ ถ้ายื่นตามกระบวนการปกติผ่านสภาฯ เช่น เสนอลดโทษ ให้เหลือเหมือนก่อน 6 ต.ค. 2519 เป็น 0-7 ปีแบบนี้ นั่นแสดงว่ายังทำได้ เราอ่านจากคำวินิจฉัย ส่วนการเมืองประเมินอีกแบบว่า เวลาไหนจะเหมาะกับการเสนอร่างเข้าไป แน่นอนที่สุด คดีคำร้องที่บรรดานักร้องยื่นไว้ปักหลังนักการเมือง สส.จำนวนมาก อาจมีผลสร้างแรงกดดันเหมือนกันว่าพรรคจะคิดอ่านอย่างไรแบบนี้
เมื่อถามว่าผลจากคำวินิจฉัยวานนี้จะนำไปสู่สารตั้งต้นการสอบสวน 44 สส.ที่ยื่นแก้ไขมาตรา 112 ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ตั้งแต่คดีที่แล้ว ในคำวินิจฉัย 3/2567 นักร้องยื่นไป ป.ป.ช. กกต. ทันที วันนี้มีมาบอกให้ดำเนินคดีอาญาด้วย กลุ่มบรรดาทำอาชีพนักร้องเตรียมพร้อมไว้ตลอด เขาเตรียมฟอลโลว์ต่อทันที นี่ขนาดยื่นไปแล้ว ยังมาเร่งเลย ตนคิดว่า 44 สส. อยากจะให้มั่นใจ ให้มีสมาธิในการทำงาน การตัดสินใจร่วมขบวนการเดินหน้าทำงานการเมืองแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ต้องเจอพายุฝน เจอขวากหนาม ต้องทนลม ทนฝน ทนหนาวหน่อย ตั้งใจมุ่งหน้าทำงานต่อ ในท้ายที่สุดปากกาอยู่ที่เขา ไม่ได้อยู่ที่เรา ต่อให้เราพยายามอธิบายให้ตาย ปากกาอยู่ที่เขา เราทำได้แต่เพียงอย่างเดียวคือ ให้ปากกาที่อยู่ที่เขา ปราศจากซึ่งความชอบธรรม เขียนคำวินิจฉัยแม้จะมีผลทางกฎหมาย แต่จิตใจของคนไม่เชื่อมั่นอีกแล้ว ดังนั้น สส.เดินหน้าต่อ สู้คดีเต็มที่
เมื่อถามถึงหนังตอนจบจะไม่เป็นม้วนเดิม แต่ที่ผ่านมา 2 ครั้งถูกยุบพรรคเช่นเดิม แล้วตอนจบที่ไม่เหมือนเดิมจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ถ้าสังเกตดี ๆ ไม่เหมือนเดิม เอาตัวเลขก่อนก็ได้ ยุบพรรคตัดสิทธิอนาคตใหม่ 81 สส. มาก้าวไกลเป็น 151 สส. ตัวเลขเป็นเท่าตัว อาจดูจบเหมือนเดิม แต่ผลลัพธ์ไม่เหมือนเดิม ยุบพรรคครั้งนี้เช่นกัน ดูแล้วเหมือนเดิม แต่ถ้าในการเลือกตั้ง 2570 เขาทำได้อีก 1 เท่าเป็น 300 คน อันนี้ก็ไม่เหมือนเดิม รอบนี้เท่าที่ตามข่าว 143 สส.ที่เหลืออยู่ สมัครพรรคใหม่หมดแล้ว ดังนั้นแม้เขาอยากทำให้พรรคนี้หายไป คนหายไป เขาก็จะไม่ได้ ส่วนการยุบพรรค ตัดสิทธิไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกของประชาชน ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีนักการเมือง พรรคการเมือง ตกเป็นเหยื่อในการต่อสู้ทางการเมือง ใช้กฎหมายมาประหารกัน ตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้คนกลุ่มหนึ่งคับแค้นใจ อีกกลุ่มหนึ่งสะใจ แต่พอก้าวไกลโดนอีกรอบ เขาก็เห็นขึ้นอีก นั่นคือการสะสมปริมาณ และคุณภาพว่าเขาเล่นอะไรกันอยู่
“ความไม่พอใจของคนระเบิดออก จะต้องสุกงอมเพียงพอ ถ้าสถานการณ์ไม่สุกงอมเพียงพอ ก็ไม่ระเบิด แต่เก็บความไม่พอใจไว้อยู่ สมัยผมเป็นอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ได้วิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด ช่วงนั้นมีคนเห็นด้วยกับเรา แต่ไม่มากพอ แต่มาช่วงหลังตอนอนาคตใหม่ ก้าวไกล คนก็เห็นด้วยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นทุก ๆ การกระทำที่ฝ่ายผู้มีอำนาจทำ เขาต้องแบกรับต้นทุนไปเรื่อย ๆ ถ้าสถานการณ์สุกงอม จะระเบิดขึ้นมา ในท้ายที่สุด ถ้าเรายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของตัวเราเองที่ทำให้เขาเข้าใจ” นายปิยบุตร กล่าว
เมื่อถามถึงปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลครั้งนี้คืออะไร นายปิยบุตร กล่าวว่า มารอบนี้ไม่ต้องวิเคราะห์อื่นแล้ว เพราะอยู่ในคำวินิจฉัยหมดเลยว่า วินิจฉัยอย่างไร ถึงบอกว่าคำวินิจฉัยนี้กระทบกระเทือนไปยังระบอบการปกครอง กระเทือนไปยังสถาบันฯ รอบหลัง ๆ เริ่มจะไม่กระมิดกระเมี้ยนกันแล้ว ใช้เรื่องนี้ตรง ๆ เลย ตนถามว่าใครเสียหาย ก้าวไกลไม่เสียหาย เดี๋ยวเขาตั้งหลักใหม่ได้ แต่ปัญหาที่ต้องคิดคือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีองค์ประกอบสำคัญ 2 องค์ประกอบคือ ประชาธิปไตย และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราต้องมีทั้ง 2 อย่าง แต่อ่านคำวินิจฉัยทั้ง 3/2567 และครั้งล่าสุด 10/2567 ดูให้น้ำหนักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมากเป็นพิเศษ
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นจะเกิดกรณี “งูเห่า” ขึ้นอีก นายปิยบุตร กล่าวว่า ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ถ้าจะเกิดก็ต้องเกิด ห้ามไม่อยู่ แต่อยู่ที่ศิลปะของผู้นำพรรครุ่นใหม่ว่าจะบริหารความคาดหวัง บริหารความรู้สึกของ สส. ของพนักงานพรรค ของเครือข่ายทีมจังหวัดพรรคต่อไปอย่างไร เป็นบทพิสูจน์ผู้นำพรรครุ่นหน้า ต้องยอมรับคนเข้ามาแวดวงการเมือง มีความปรารถนาหลายเรื่อง เห็นไม่ตรงกัน บางคนอยากได้ตำแหน่งนี้ แต่ทรัพยากรมีจำกัด มันจะเกิดความเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งใหญ่ขึ้นยิ่งยาก แค่จัดคิวใครพูด คนนั้นรับบทอะไร ก็มีปัญหาทั้งนั้น แต่ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติของพรรคการเมือง ถ้าพรรคมีวินัยแบบกองทัพ ก็กลายเป็นเผด็จการแล้ว ดังนั้นเพียงแต่เถียงกันให้เต็มที่ แล้วจบกันในพรรค เรื่องนี้ต้องอาศัยศิลปะของผู้นำพรรค
นายปิยบุตร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. มีการประชุม สส.ก้าวไกลประจำสัปดาห์ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สส.ชวนตนไปพูดคุย ได้พูดเรื่องนี้ไปว่า รู้ว่าการเลือกมายืนอยู่ฝั่งทางนี้ มันยากกว่าคนอื่น เราไม่มีเครือข่ายกลไกรัฐ เราไม่มีข้าราชการ เราไม่มีเงิน เราไม่มีระบบอุปถัมภ์ ไม่มีอะไรเลย เรามีอย่างเดียวคือเสียงสนับสนุนของประชาชนที่ฝากความหวังไว้กับเรา เมื่อเรายืนฝั่งนี้อุปสรรคมันเยอะกว่าอยู่แล้ว แต่แม้จะยาก เรายืนอยู่ฝั่งอนาคต เป็นธรรมดาใครอยู่ฝั่งอนาคตจะยากกว่า เพราะเรากำลังทำในสิ่งที่ไม่เกิด ก็ต้องเข้ามาเสี่ยง แต่ผลลัพธ์ของมันสุกสกาวแน่นอน ชีวิตแต่ละคนมีวิจารณญาณของตัวเอง ไปห้ามคงไม่ได้
เมื่อถามว่า เมื่อมีพรรคสำรองเพื่อไปต่อแน่ ๆ มองโอกาสเป็นรัฐบาลอย่างไร หลังจากถูกยุบพรรคมีความพยายามปลุกเร้าในการเลือกตั้งปี 2570 นายปิยบุตร กล่าวว่า อย่างไรต้องเอาเสียงประชาชนมาให้มากที่สุดก่อน เหมือนที่ตนเรียกว่าประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาต ใบอนุญาตที่ 1 คือจากประชาชน ตามหลักการต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ใบนี้ต้องมี แต่บางประเทศที่อยู่ระหว่างขั้นตอนพัฒนา ก็จะมีชนชั้นนำอยู่เบื้องหลัง เรียกว่ารัฐซ้อนรัฐ อะไรต่าง ๆ และมีโอกาสกำหนดทุกครั้งไปว่าใครจะเป็นรัฐบาล นั่นนำมาสู่ใบอนุญาตใบที่ 2
“ถามว่าก้าวไกลมีโอกาสได้ใบที่ 2 หรือไม่ การเลือกตั้ง 2566 พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ออกใบอนุญาตให้คุณ เราเลยต้องเป็นฝ่ายค้าน ถามว่าเรามุ่งหน้าหาใบที่ 2 ดีหรือไม่ ผมบอกเลยว่าไม่ได้ ทางเดียวคือคุณต้องมีใบอนุญาตใบที่ 1 ถล่มทลาย เพื่อกดดันให้ใบอนุญาตที่ 2 ออกมาให้ได้ แต่ถ้าคุณมุ่งหน้าหาแต่ใบที่ 2 ละทิ้งความต้องการของประชาชน ไปเอาอกเอาใจชนชั้นนำ ระยะสั้นอาจได้ แต่ระยะยาวคุณจะหมดความไว้วางใจจากประชาชน” นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ถ้าพรรคที่จะต่อจากอนาคตใหม่ หรือก้าวไกล ต้องการอำนาจรัฐเปลี่ยนประเทศ คุณต้องได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนก่อน เพื่อเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น ถ้าคุณได้เสียงมาเกินครึ่ง จะต้องได้รับใบอนุญาตใบที่ 2 ไม่อย่างนั้นเกิดกลียุคแน่ ถ้าเขาได้เสียงถล่มทลายจริง เขาน่าจะต้องได้เป็นรัฐบาล แต่ไปเรื่อย ๆ อาจค่อย ๆ หาเหตุ หาผล สร้างพล็อตเรื่อง สร้างอะไรต่าง ๆ เพื่อให้ใบที่ 2 เกิดความชอบธรรมในการล้มรัฐบาล
เลขาธิการคณะก้าวหน้า เชื่อว่า ถ้าเพื่อน ๆ ที่จะไปพรรคใหม่ศึกษาเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าว่า เขาล้มรัฐบาลที่ผ่านมากันด้วยเรื่องอะไร ทุจริตคอร์รัปชันเรื่องแรกเลย เวลารัฐประหารจะถูกอ้าง ดังนั้นถ้าเข้าไปแล้ว คุณรีบทำตามที่หาเสียง เข้าไปแล้วไม่มีเรื่องทุจริตเลย เข้าไปแล้วแสดงให้เห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง เข้าไปแล้วแสดงให้เห็นว่าเป็นรัฐบาลอ่อนน้อมกับประชาชน พูดง่าย ๆ ดูบทเรียนในอดีตแล้วอย่าทำซ้ำ เชื่อว่าจะประคองไปได้ แต่ท้ายที่สุดไม่ได้การันตี 100% เพราะบทใบอนุญาตใบที่ 2 ถึงเวลาเข้าตาจนก็ใช้ทุกกลเม็ดเด็ดพรายเหมือนกัน จะผ่านไปได้ต้องพิสูจน์ สำคัญที่สุดใบอนุญาตใบที่ 1 ถ้าประชาชนยังคงสนับสนุนคุณอยู่ ใบที่ 2 จะทำอะไรก็ลำบาก ประชาชนคือผนังทองแดงกำแพงเหล็กทุกครั้ง ต้องพยายามรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนไว้เรื่อย ๆ
ซักอีกว่าใบอนุญาตใบที่ 1 ถ้าตีเป็นพื้นในสภาฯ เสียงเท่าไหร่ถึงเพียงพอ นายปิยบุตร กล่าวว่า เกิน 250 คนเป็นการเมกชัวร์ เพราะเสียงข้างมากในสภาฯเป็นคนโหวต ก็อาจต้องเติมขึ้นไปอีก แต่ไม่ได้มองแค่ยกมือในสภาฯ ต้องการเห็นจำนวนที่เป็นตัวเลขปรากฏออกมา เราไม่สามารถทำให้คน 19-20 ล้านคนมายืนบนถนนพร้อมเพรียงกันได้ แต่วิธีการแสดงให้มองเห็นคือผ่านคูหาเลือกตั้ง เป็นนัยกว่าการยกมือให้จบ ๆ ไป
ถามอีกว่า พรรคเพื่อไทยเวลานี้อยู่ได้ด้วยใบอนุญาตใบที่ 1 หรือใบที่ 2 นายปิยบุตร กล่าวว่า จากที่ดูมาตอนนี้ ถ้าให้ย้อนประวัติไปถึงพรรคไทยรักไทยเดิมเลย คือได้ใบที่ 1 เยอะมาก พอเข้าไปแล้วก็ถูกอุบัติเหตุ 19 ก.ย. 2549 ต่อมาเป็นพรรคเพื่อไทย โดน 22 พ.ค. 2557 อีก ในระยะหลังเขาเริ่มเข้าใจแล้วว่า จะเป็นรัฐบาลได้ต้องทำอย่างไร หมายถึงรอบนี้ หลายคนให้ข้อคิดด้วยซ้ำไปลักษณะว่าโดนมาก่อน ตนเห็นว่าถ้าเห็นการแสดงออกของผู้นำรัฐบาล จะเห็นได้ดีว่าเขามุ่งหน้าหาใบที่ 2 มากขนาดไหน
“การมุ่งหน้าหาใบที่ 1 คือประชาชนต้องเลือกคุณเป็นรัฐบาล ส่วนใบที่ 2 การไปหาเขา ไม่ใช่สยบยอม ไม่ใช่หมอบราบคาบ แต่ไปหาเพื่ออธิบายให้เขาเข้าใจว่า เรามีความปรารถนาดีเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ตัดเขาออกจากสมการ แต่ไปให้เขาร่วมมือกัน พรรคการเมืองอยู่ได้ เป็นรัฐบาลได้ก็เพื่อประชาชน ถึงยืนยันว่า เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด สำหรับประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนกลุ่มชนชั้นนำเป็นเรื่องการบริหารจัดการอำนาจรัฐ เมื่อมีอำนาจแล้วต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ไม่ได้ไปล้มเขานะ แต่เป็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันยุคทันสมัย” นายปิยบุตร กล่าว
ส่วนประเด็นการแก้ไขอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ในโลกความเป็นจริงถ้านักการเมืองเข้าไปยุ่งมาก อาจย้อนเป็นภัยตัวเองได้ นายปิยบุตร กล่าวว่า เรื่องนี้เราต้องการ สส.แบบก้าวหน้า รุ่นใหม่ ๆ เข้าใจข้อจำกัดของนักการเมืองไทยดี บางคนมีความคิดสร้างสรรค์ดี แต่เมื่อเข้าสู่สนามการเมืองไทยจะเจอกงล้อกรงขังของกฎหมายขังเอาไว้ ทำให้นักการเมืองไม่กล้าทำอะไร กลัวชีวิตนักการเมืองจะจบลง แต่ถ้าเป็นอย่างนี้หมดนานวันเข้า ไปไกลกว่าเดิมแทนที่จะจัดการปัญหา จัดการกรงขังทางกฎหมาย ดันไปเอากรงขังมาทิ่มเพื่อนนักการเมืองด้วยกันเองอีก แล้วองค์กรอิสระก็มองว่าจะหยิบใครไปเชือดดี แต่ถ้านักการเมืองร่วมมือกันจัดการกรงขังทางกฎหมายก่อนดีหรือไม่ เอาแค่เรื่องยุบพรรคก่อน อาจไม่ผ่านในวันนี้แต่ต้องลองทำ
ซักอีกว่า ความเป็นไปได้ในทางการเมือง เมื่อได้ใบอนุญาตใบที่ 1 แล้วไปหาใบที่ 2 มากขึ้นโดยการเสนอให้ร่วมมือกันแก้อำนาจตรงนี้ มันแย้งแยงกันหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า สภาฯสมัยนี้ต้องพยายามทำดู ในเมื่อ 250 สว.หายไปแล้ว แต่ สว.ชุดปัจจุบัน 200 คน ดีขึ้นกว่าเดิมแน่ ๆ ไม่ใช่สั่งซ้ายหันขวาหันได้ขนาดนั้น สส.ถ้าเล็งเห็นว่าเป็นปัญหาบ้านเมือง ให้ช่วยกันแก้ในตอนนี้ ถ้าทุกคนมัวแต่กอดใบ 2 ไม่สนใจใบที่ 1 อีกแล้ว ไม่เป็นไร พรรคใหม่ที่ต่อจากก้าวไกลรับเรื่องนี้ไปเลย ไปแก้ปัญหาผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้คนสนับสนุนเลย ทุก ๆ การยุบพรรคหรือตัดสิทธิ ดูเหมือนเราต้องแบกรับต้นทุนสร้างบ้านใหม่ ในทางกลับกัน ทุกการยุบพรรคหรือตัดสิทธิ พวกเขาก็แบกรับต้นทุนไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อถามว่า ความพยายามมุ่งเข้าหาประชาชนจนขัดแย้งผู้มีอำนาจ ต้องสังเวยอีกกี่รุ่น และพรรคใหม่ได้พยายามปรับหาสมดุลในระบบการเมืองแบบนี้ได้หรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า เท่าที่เจอเชื่อว่าเขามีประสบการณ์เพียงพอรู้จังหวะว่าช่วงไหนควรทำอะไร บางจังหวะต้องมุ่งหน้าทำงานในสภาฯ บางจังหวะต้องเจรจากลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อทำเรื่องราวต่าง ๆ ให้สำเร็จ แต่อย่างน้อยที่สุดไม่ว่าจังหวะไหนทำอะไร จิตใจต้องมั่นคงตลอดว่า แนวคิดอุดมการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปไหน ตนบอกพวกเขาหลายคนว่า เรามาทำงานการเมืองในยุคที่ไม่ได้ใสกิ๊ก ไม่ใช่กระแสหลักในทางการเมือง ต้องอดทน สามารถทำงานกับนักการเมืองดั้งเดิมได้ ไม่ใช่หยิ่งผยอง แสวงหาแนวร่วมมากขึ้น แต่จุดยืนต้องเหมือนเดิม แม้จะพูดคุยกับนักการเมืองทุกกลุ่ม เพื่อตกลงต่อรองว่าจะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้สำเร็จหรือไม่ ตื่นเช้ามาส่องกระจกต้องบอกตัวเองได้ว่ายังเหมือนเดิมอยู่
เมื่อถามว่า หรือต้องรอรุ่นแรก (อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่) กลับมา นายปิยบุตร กล่าวว่า ตนจะพ้นโทษแบนทางการเมืองปี 2573 แต่เอาจริง ๆ แทบไม่ได้คิดเลย เราไม่ได้อินโนเซนต์ทางการเมืองขนาดนั้น กลุ่มผู้มีอำนาจในฝ่ายอนุรักษนิยม อาจไม่สบายใจคนความคิดแบบตน ต่อให้พ้นโทษเขาก็หาเรื่องได้อีก ทำทุกอย่างทำวันนี้ให้เต็มที่ เห็นอะไรที่ถูกก็พูด เห็นอะไรที่ผิดก็วิจารณ์
ส่วนกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลที่ถูกยุบพรรคล่าสุด จะย้ายไปสังกัดคณะก้าวหน้าหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกัน เพราะแต่ละคนยังอยากมีบทบาทในทางการเมืองอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนไป บทบาทอื่นยังมีได้อยู่ เช่น ผู้ช่วยหาเสียง หรือรณรงค์ในกฎหมายสำคัญ