'กมธ.ฟอกเงิน' ข้องใจ หน่วยงานรัฐ ฟันคดีโกงหุ้นสตาร์คล่าช้า

'กมธ.ฟอกเงิน' ข้องใจ หน่วยงานรัฐ ฟันคดีโกงหุ้นสตาร์คล่าช้า

“กมธ.ฟอกเงิน”เผยผลสอบคดีฉ้อโกงหุ้นสตาร์ค ชี้ จนท.ดำเนินการล่าช้า ไม่สอบคน-เส้นทางเงินเกี่ยวข้อง ทั้งที่คดีสร้างความเสียหายให้ประชาชนกว่า 14,000 ล้าน จ่อชงรายงานให้สภาฯพิจารณา

ที่รัฐสภา นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร แถลงสรุปผลการทำงานของคณะอนุกมธ.ติดตามและศึกษาคดีฉ้อโกง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ว่า ทาง อนุ กมธ.ได้ศึกษาและทำจัดรายงานเสร็จเรียบร้อย พร้อมส่งให้ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาแล้ว เนื่องจากเป็นคดีฉ้อโกงประชาชนที่มีความเสียหายประมาณ 14,778 ล้านบาท มีผู้เสียหายที่เป็นผู้ถือหุ้นกู้จำนวน 4,692 ราย และผู้ลงทุนสถาบัน 12 ราย แต่อัยการสั่งฟ้องบุคคลและนิติบุคคล เพียง 11 ราย และมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง  นายชินวัฒน์ อัศวโภคี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหาร บริษัท สตาร์คฯ โดยกันไว้เป็นพยานทุกกรณี ทำให้ อนุ กมธ.ฯตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงไม่สั่งฟ้อง ทั้งที่มีการเข้าไปเทคโอเวอร์ บริษัท เอ็มพิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ของนักร้องชื่อย่อ ข.ที่ปรากฏมีการเปลี่ยนมือให้นักร้องคนนี้ไปซื้อหุ้นแทนมูลค่า 650 ล้านบาท โดยไม่มีการตรวจสอบที่มาหรือพยานแต่อย่างใด ทั้งนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)แจ้งว่าจะดำเนินการตรวจสอบเงินดังกล่าว แต่ไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าได้ดำเนินการไปแล้วหรือไม่

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่าทางอนุกมธ.ฯ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ไม่ทราบว่ามีการปั่นหุ้นหรือไม่ ทั้งที่คดีนี้ล่วงเลยมานานแล้ว และสร้างความเสียหายให้กับประชาชน หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับไม่ทราบว่ามีการกระทำความผิด รวมถึงการสอบสวนเส้นทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงกับผู้กระทำความผิด ซี่งดีเอสไอ และ ปปง. ต้องเน้นเรื่องนี้ หากไม่มีเส้นทางการเงินถึงกันก็จะพิจารณาว่าบุคคลเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งไม่น่าจะใช่วิธีการตรวจสอบทรัพย์สินในคดีฟอกเงิน ดังนั้นจึงเห็นว่าการดำเนินคดีไม่ควรเน้นเรื่องไม่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกันเพียงอย่างเดียว แต่ควรเน้นถึงความสัมพันธ์ และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

"อนุกมธ.ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ดีเอสไอ และ ปปง. ไม่ได้ดำเนินคดีหรือแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องกับการทำความผิด ในข้อหาพยายาม หรือสมคบ หรือสนับสนุนการฟอกเงิน แม้ข้อเท็จจริงเป็นที่เข้าใจได้ว่าในการกระทำความผิดลักษณะดังกล่าวต้องมีการเตรียมการกระทำความผิดมาเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้สอบสวนในพฤติกรรมของการทำความผิด หรือมีการดำเนินการกับทรัพย์สิน เช่น ยึด หรือ อายัดทรัพย์สิน ดังนั้นหากหน่วยงานรัฐยังไม่ดำเนินให้เห็นเป็นรูปธรรม ทาง กมธ. พร้อมติดตามตรวจสอบในเรื่องนี้อีกครั้ง" นายเลิศศักดิ์ กล่าว.