สแกน ‘ฝ่ายแค้น’ โค่น พท. ภาค 2 ศัตรูใหม่ - ศัตรูเก่าไหลรวม ต้าน 'ระบอบทักษิณ'
สแกน ‘ฝ่ายแค้น’ โค่น 'เพื่อไทย' ภาค 2 ศัตรูใหม่ - ศัตรูเก่าไหลรวม ต้าน 'ระบอบทักษิณ' ประวิตร - สุดารัตน์ - เสื้อแดง - เสื้อเหลือง จองกฐิน
KEY
POINTS
- เมื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" เปิดตำราชำระแค้น ทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงหนี้แค้นเก่าอย่าง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ - สนธิ ลิ้มทองสกุล ย่อมส่งแรงสั่นสะเทือนทางการเมือง
- บรรดา "ฝ่ายแค้น" ไหลไปรวมกัน เพื่อปฏิบัติการตอบโต้ "ทักษิณ-เพื่อไทย" แม้จะมั่นใจว่า "หัวขบวนอนุรักษนิยม" คอยอยู่เคียงข้าง เพราะต้องเลือกใช้บริการสู้กับ "พรรคสีส้ม"
- แต่ตัวของ "ทักษิณ" ต้องไม่ลืมว่าขุมกำลังของ "ฝ่ายแค้น" ที่ฝังตัวอยู่ในองค์กรต่างๆ มีพลังอย่างมาก และพร้อนถอนแค้นคืนเช่นกัน
นิยามการเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร อาจจะใช้ได้กับ “นักการเมือง” หลายคน แต่บางคนมีจุดยืนที่มั่นคง ไม่โอนเอนไปกับอำนาจผลประโยชน์ ต่อให้ “ศัตรู” จะทอดสะพานเพื่อเชื่อม “มิตร” ก็ยากที่จะจับมือเกี่ยวดองกัน
ที่สำคัญในทางการเมือง “มิตร” ย่อมแปรเปลี่ยนเป็น “ศัตรู” ได้ตลอดเวลาเช่นกัน หากผลประโยชน์ระหว่างกัน จัดสรรแบ่งปันไม่ลงตัว
ยิ่งกับชายชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ผู้ขึ้นสูงสุดทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ย่อมประสบพบเจอทั้งมิตร และศัตรู
ทว่า “ทักษิณ” กลับมาเรืองอำนาจรอบนี้ ตัวเขารักษามิตรเก่า-ผูกไมตรีมิตรใหม่ ทำลาย “ศัตรูคู่แค้น” ที่มีบาดแผลฝังใจกันมานาน เพื่อไม่ให้ค้างคาใจกันอีกต่อไป
เริ่มที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จากที่เคยทวงบุญคุณข้ามโลก แฉวลี “เกาะขอบโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.” มาถึงการแฉ ฉากแตกหักปมคัดค้านไม่ให้นั่งเก้าอี้ ประธาน ป.ป.ช. หลังจากเกษียณอายุราชการจากเก้าอี้ ผบ.ทบ.
โดยเมื่อปี 2548 มีการสรรหา กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชุดใหม่ ภายหลัง กรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่มี “พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ” เป็นประธาน ต้องสิ้นสุดวาระก่อนกำหนด เนื่องจากถูกศาลสั่งจำคุก โดยให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ฐานกระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่
เมื่อ “ประวิตร” กำลังจะหมดอำนาจจากผู้นำกองทัพ จึงเสนอตัวเข้ามานั่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. โดยผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รอบ 18 คนสุดท้าย (กรรมการ ป.ป.ช. มี 9 คน) แต่ก็ต้องยอมถอนตัว เมื่อมีพรายกระซิบคาบข่าวจาก “บ้านจันทร์ส่องหล้า” มาบอกกับ “ประวิตร” ว่าเจ้าของบ้าน ไม่เห็นด้วยหากมานั่งเก้าอี้ ป.ป.ช.
หลังจากนั้นสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง “ประวิตร-ทักษิณ” ขาดสะบั้นลงทันที ฝั่ง “ประวิตร” วางเครือข่าย “ทหาร” จนเข้มแข็ง โดยเฉพาะรุ่นน้อง “อนุพงษ์-ประยุทธ์” จนมีส่วนกับเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 และ 2557
รวมถึงการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีข้อครหาจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และหลังปฏิบัติการทุกครั้ง “ประวิตร” มีตำแหน่งใหญ่โตมาตลอด ทำให้ “ทักษิณ” ปักษ์ใจเชื่อว่า “ประวิตร” คือผู้อยู่เบื้องหลัง
เมื่อ “ทักษิณ” กลับมาเป็นศูนย์รวมอำนาจ จึงปฏิบัติการสลายฝัน “ประวิตร” ขวางไม่ให้นั่งนายกฯ พ่วงด้วยการเขี่ย “พลังประชารัฐ” พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล
“เหลิม” เปิดหน้ารบเพื่อลูก
เช่นเดียวกับ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เพิ่งสะบั้นสัมพันธ์กับ “ทักษิณ” ปิดฉาก 34 ปีแห่งความหลัง
เมื่อปี 2532 “เฉลิม” หัวหน้าพรรคมวลชน ที่มี สส.อยู่ 3 คน ได้เข้าร่วมรัฐบาลชาติชาย ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล อสมท.
สมัยนั้น “ทักษิณ” เป็นนักธุรกิจโทรคมนาคม ด้วยการนำวิทยุติดตามตัว(Pager) ยี่ห้อ Phonelink เข้ามาจำหน่าย และเป็นผู้บุกเบิกเคเบิลทีวีรายแรกของเมืองไทย ปี 2533 “เฉลิม” อนุมัติให้บริษัท IBC เคเบิลทีวี ของ “ทักษิณ” ได้สัญญาสัมปทานเคเบิลทีวี โดยเจ้าของสัมปทานคือ อสมท.
ระหว่างปี 2544-2549 ในช่วงที่ “ทักษิณ” เรืองอำนาจ “เฉลิม” กลับมาจากลี้ภัยทางการเมือง เข้าสังกัดพรรคความหวังใหม่ แม้ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะนำพรรคความหวังใหม่ เข้าควบรวมกับพรรคไทยรักไทย โดยได้ตำแหน่งรองนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม แต่ “เฉลิม” ไม่เคยได้ตำแหน่งใดๆ ท่ามกลางกระแสข่าว “ทักษิณ” ไม่ปลื้ม
กระทั่งเกิดรัฐประหาร 2549 “ทักษิณ” กลายเป็นผู้ลี้ภัย “เฉลิม” จึงอาสามาเป็นแม่ทัพให้พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จนได้เป็น รมว.มหาดไทย “รัฐบาลสมัคร” และเป็นรองนายกฯ กำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”
ทว่าปี 2567 รอยร้าวเริ่มมีให้เห็น เมื่อ “เฉลิม” ไม่อยู่ในโผ ครม. ต่อด้วยการเลือกตั้งนายก อบจ. ปทุมธานี ซึ่ง “เฉลิม” สนิทสนมกับ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ศัตรูของ “ทักษิณ” วันนับคะแนนเลือกตั้ง มีใครบางคนส่งรูป “ลูกวัน” วัน อยู่บำรุง อดีตผู้สมัคร สส. เพื่อไทย ส่งตรงให้คนตระกูลชินวัตร
ทำให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุ่มทุนลงพื้นที่ช่วย “ชาญ พวงเพชร” หาเสียงสู้ “บิ๊กแจ๊ส” ต้องเรียกมาเตือน ก่อนจะถึงวันแตกหัก “วัน” ยื่นใบลาออกจากสมัครพรรคเพื่อไทย เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ “เฉลิม” ประกาศชักธงรบทันที
“สุดารัตน์” ท้าชนคนรอบตัว “ชินวัตร”
ต่อด้วย “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย สัมพันธ์การเมืองของ “ทักษิณ-สุดารัตน์” เริ่มที่พรรคพลังธรรม ก่อนจะมาร่วมกันก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ในปี 2541 ซึ่ง “คุณหญิงสุดารัตน์” เป็น 1 ใน 23 ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
โดยในปี 2543 ได้เป็นรองหัวหน้าพรรค ได้เป็นรัฐมนตรีคุมกระทรวงสำคัญๆ อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในพื้นที่เลือกตั้งได้สยายอำนาจคุมสนาม กทม.นับแต่นั้น
หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค “สุดารัตน์” ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก่อนที่ “ทักษิณ” จะตั้งพรรคพลังประชาชน โดยทีม “สุดารัตน์” เป็นกำลังหลักในสนามเลือกตั้ง กทม. ต่อเนื่องมาถึงยุคพรรคเพื่อไทย
ในช่วงก่อนการเลือกปี 2562 “สุดารัตน์” เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯ แต่ผลการเลือกตั้งออกมาไม่เป็นใจ “เพื่อไทย” ไม่ได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ จากพิษสงของบัตรเลือกตั้งใบเดียว ทำให้ “สุดารัตน์” ถูกคนรอบกาย “ตระกูลชินวัตร” โยนให้เป็นแพะรับบาป
กระทั่งต้องเก็บกระเป๋าออกจาก “เพื่อไทย” ว่ากันว่าเมื่อ “ตระกูลชินวัตร” ตัดสินใจปลด “สุดารัตน์” บรรดาป้ายชื่อ แฟ้มงาน ถูกนำมากองหน้าห้องตึกโอเอไอ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ชั้น 8 แบบไม่บอกกล่าวกันมาก่อน
จากนั้น “สุดารัตน์” สร้างพรรคไทยสร้างไทย ได้ สส. 6 ที่นั่งจากการเลือกตั้งปี 2566 แต่กลับโดน “ทักษิณ-เพื่อไทย” ดึง สส.งูเห่า โหวตให้ “แพทองธาร” นั่งนายกฯ จนกลายเป็นการโดดเดี่ยวหัวหน้าพรรค รอวันที่คุณหญิงหน่อยเอาคืนอีกราย
“เสรีพิศุทธ์” เอาคืนปมไม่เห็นหัว
ต่อด้วย “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เส้นทางการเมืองไม่เคยร่วมงานกัน แต่มีปมให้ขัดแย้งกัน เมื่อ “เสรีพิศุทธ์” อาสาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ปะฉะดะ “อดีตพรรคก้าวไกล” เปิดทางพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
ทว่า ในช่วงฟอร์มทีม ครม. แทบไม่เคยปรากฏชื่อของ “เสรีพิศุทธ์” อยู่ในโผแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากพรรคเสรีรวมไทยมีเพียง 1 เสียงในสภาฯ เจ้าตัวจึงอดทนรอลุ้นการปรับ ครม.
กระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง ช่วงตั้งรัฐบาลแพทองธาร เป็น “เสรีพิศุทธ์” ที่ขันอาสานำ 1 เสียงรวมร่วมตั้งรัฐบาล แต่สุดท้ายกลับเข้าอีหรอบเดิม ไม่มีชื่อมาร่วม ครม.
ทำให้เจ้าตัวประกาศทำศึก แฉความลับชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่ง “ทักษิณ” รักษาอาการป่วยช่วงรับโทษ เปิดข้อมูล EP1 ไปแล้ว โฆษณา EP2 เร็วๆ นี้ และเตรียมเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทั้งกระบวนการ
โค่น ปชป.เติมไฟแค้นผู้เฒ่าเฝ้าพรรค
ตลอด 23 ปี ไล่ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ผ่านการเลือกตั้ง 6 ครั้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเอาชนะ “พรรคชินวัตร” ได้แม้แต่ครั้งเดียว
ทว่าเป็น “ประชาธิปัตย์” ทั้งในฐานะฝ่ายค้าน ในฐานะแกนนำผู้ชุมนุม และในฐานะมวลชนผู้ชุมนุม เข้ามามีบทบาทขัดขวาง “ทักษิณ” จนนำมาสู่การรัฐประหาร ทำให้ “ทักษิณ” มีหนี้แค้นกับพรรคสีฟ้าที่ต้องชำระแค้น
การเข้าร่วมรัฐบาลของ “ประชาธิปัตย์” ยุค “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” มองเหลี่ยมไหนก็รู้ว่าเป็นยุทธวิถีทำให้ “ขุนพลแดนสะตอ” สูญเสียมวลชน-ฐานเสียง เป็นเกมของ “ทักษิณ” ตีให้พรรคแตก
ส่งผลให้ “ผู้เฒ่าเฝ้าพรรค” อาทิ “ชวน หลีกภัย” “บัญญัติ บรรทัดฐาน” รวมถึง “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องออกมาปกป้องพรรคเก่าแก่ แต่ไม่สามารถทัดทานเกมกลไกพรรคที่เข้าทาง “เฉลิมชัย” ได้
“ชวน หลีกภัย” จึงเป็นหัวหอกในการชำแหละระบอบทักษิณ ที่ทำให้การเมือง และบ้านเมืองกำลังกลับไปสู่วงจรเดิม
“จตุพร-ธิดา” เคลื่อน-ชำระแค้น
กลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารปี 2549 และต่อต้านรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยยุคแรกมี วีระ หรือวีระกานต์ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นแกนนำ โดยมี “ทักษิณ” เป็นแกนนำหลังฉาก
จากนั้น “ทักษิณ” ใช้องค์กร “นปช.” ต่อสู้ทางการเมืองมาโดยตลอด ปี 2551 ใช้ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2552-2553 ใช้ต่อสู้กับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” จนมีเหตุการณ์สลายการชุมนุม มี “กลุ่มคนเสื้อแดง” เสียชีวิตจำนวนมาก
ระหว่างทางของการต่อสู้ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ก็แตกแยกกันเอง “ณัฐวุฒิ” ได้รับการปูนบำเหน็จให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หลังจากนั้นความสัมพันธ์กับ “จตุพร-ธิดา-เหวง” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ปี 2562 “จตุพร” แยกทางกับพรรคเพื่อไทย เดินสายรณรงค์หาเสียงให้พรรคเพื่อชาติ ก่อนจะแยกทางกับพรรคเพื่อชาติ และไม่ร่วมขบวนกับพรรคการเมืองอีกเลย
“จตุพร-ธิดา” มีจุดยืนทางการเมืองเข้มแข็ง การพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับ “3 ลุง” ทำให้ต้องแยกทางกับ “ทักษิณ-เพื่อไทย” โดยพยายามรักษามวลชนของตัวเองเอาไว้ต่อสู้ทางการเมืองอีกคำรบ
มาถึงวันนี้ จตุพร และพลพรรค เปิดฉากรบออนไลน์กับทักษิณอย่างไม่เกรงใจ รอจังหวะกระแสที่จะชวนมวลชนลงถนนไล่ทักษิณอีกครั้ง
“สนธิ” ปลุกพันธมิตรล้ม “ชินวัตร”
“กลุ่มคนเสื้อเหลือง” ในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนไหวต่อต้าน “ทักษิณ” ตั้งแต่ปี 2548-2552 มี “สนธิ ลิ้มทองสกุล” – “จำลอง ศรีเมือง” เป็นแกนนำคนสำคัญ จุดร่วมกันของแนวรบพันธมิตรคือ การทุจริตของ “รัฐบาลทักษิณ”
ต้องยอมรับว่าการก่อกำเนิดของ “กลุ่มพันธมิตร” ทำให้อำนาจของ “ทักษิณ” ค่อยๆ ลดลง ปมทุจริตถูกนำมาใช้เป็นประเด็นปลุกมวลชน ทำให้ “ทักษิณ” ถูกดำเนินคดีในภายหลัง จนต้องลี้ภัยทางการเมืองไปกว่า 17 ปี
แต่การต่อสู้บนถนนทอดเวลายาวนาน มีทั้งการยึดสถานที่ราชการ ยึดสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้ “แกนนำพันธมิตร” หลายคนต้องถูกดำเนินคดี
การกลับมามีอำนาจ และใช้อำนาจอีกครั้งของ “ทักษิณ” ทำให้แนวรบพันธมิตรกลับมามีบทบาท โดยเฉพาะ “สนธิ” ซึ่งมีสื่อโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง นำข้อมูลวงลับ-วงในมาปลุกมวลชน
ทั้งหมดคือ “ศัตรู” คู่อาฆาตของ “ทักษิณ” ที่จะเปิดแนวรบทางการเมืองห้ำหั่นใส่กัน หวังโค่นล้มระบอบทักษิณ และอำนาจการเมืองตระกูล “ชินวัตร” อีกคำรบ แม้บางคนต้องการต่อยอดผลประโยชน์ของตัวเอง แต่บางคนเปิดหน้ารบ เพื่อถอนแค้นคืนจาก “ทักษิณ ชินวัตร”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์