ผ่า'3ปม'สมประโยชน์การเมือง บิ๊กบอส ‘แดง’ ผนึก ‘น้ำเงิน’ ต้าน‘ฝ่ายแค้น’
ผ่า'3ปม'สมประโยชน์การเมือง บิ๊กบอส ‘แดง’ ผนึก ‘น้ำเงิน’ ต้าน‘ฝ่ายแค้น’ จับตาแบ่งบิ๊กโปรเจ็กต์ “กาสิโน”ปักหมุดบุรีรัมย์
KEY
POINTS
- การพบเจอกันของ "ทักษิณ ชินวัตร" และ "เนวิน ชิดชอบ" จากศัตรูแปรเปลี่ยนเป็นมิตร เมื่อต่างมีอาณาจักรทางการเมืองของตัวเอง ที่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
- ทางหนึ่งผนึกกันอย่างเหนียวแน่น เพื่อกันท่าไม่ให้ "ฝ่ายแค้น" เปิดเกมขย่ม ทางหนึ่งสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐบาลแพทองธาร
- แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการแบ่งผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะนโยบายสำคัญของรัฐบาล
การพบกันระหว่าง “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย เป็นสัญญาณการพักรบมาพบรักกันใหม่ จากวลีพลิกขั้ว “มันจบแล้วครับนาย” มาสู่วลีผูกมิตร “มาเริ่มกันใหม่ครับนาย”
เนื่องจากอดีตเจ้านาย-ลูกน้องคู่นี้ เคยมีแผลในอดีต มีแค้นที่คาใจกันอยู่ “ทักษิณ” ที่เคยโดน “เนวิน” หักหลัง ขน สส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ออกจากพรรคพลังประชาชน พลิกขั้วไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปลายปี 2550 หลังจากนั้นทั้งคู่ ไม่ร่วมสังฆกรรมกันอีกเลย
จนกระทั่งการเลือกตั้งปี 2566 “เพื่อไทย” พ่ายเลือกตั้งให้ “กระแสสีส้ม” จึงต้องหันไปพึ่งบริการพรรคร่วมรัฐบาลขั้ว 3 ป. พร้อมกับโจทย์ใหญ่เอา “ทักษิณ” กลับบ้าน ทำให้ “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” จำเป็นต้องมาเกี่ยวดองกัน
เมื่อถึงเวลา “ทักษิณ” ผนึก “เนวิน” ขุนพล “สีแดง” จับมือ “สีน้ำเงิน” จะทำให้รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ยิ่งในสถานการณ์ที่ “ฝ่ายแค้น” ระดมทุกสรรพกำลังเข้าห้ำหั่น ทั้ง “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” จึงต้องจับขั้วกันให้แน่น
เนื่องจากรัฐบาลแพทองธาร 15 พรรค 325 เสียง ที่มีเพื่อไทย 141 เสียง และ ภูมิใจไทย 70 เสียง เป็นองค์ประกอบหลัก หากทั้งสองพรรคไม่ไหวเอน จึงยากที่ “ฝ่ายแค้น” จะโค่นลงได้
ขณะเดียวกันอาณาจักรของ “ทักษิณ-เพื่อไทย” อยู่ที่สภาล่าง สามารถคอนโทรลเสียง สส. ควบคุมทิศทางการบริหารของรัฐบาล และสามารถสั่งงาน “ข้าราชการ” ให้ดำเนินการตามนโยบายได้
ส่วนอาณาจักรของ “เนวิน” นอกจาก 70 เสียงของ “ภูมิใจไทย” แล้ว ยังมีขุมกำลังจากเครือข่ายสภาสูง คาดการณ์ว่ามี “สว.สีน้ำเงิน” อยู่ประมาณ 150 เสียง โดยขุมพลังดังกล่าวทำให้ “ครูใหญ่” สามารถขับเคลื่อน วางเครือข่ายใน “องค์กรอิสระ” ได้
อีกทั้งการที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย คุมกลไกระดับท้องถิ่น ทำให้ “เนวิน-ภูมิใจไทย” มีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วย
*เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ 60
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหารือหลักภายใน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ของ “ทักษิณ-เนวิน” แบ่งออกเป็น 3 ปมหลัก
ปมแรก การแก้รัฐธรรมนูญ มีการย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เนื่องจากเป็นนโยบายหาเสียงของ “เพื่อไทย” รวมถึงพันธสัญญาของการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นภารกิจหลักอย่างหนึ่งของ “เพื่อไทย” จำเป็นต้องทำให้กระบวนการแก้ไข หรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เกิดขึ้นได้ให้ได้ สิ่งสำคัญคือทำให้สังคมเห็นว่า ได้พยายามเดินหน้าแล้วอย่างจริงจัง
โดยเงื่อนแรกที่ต้องปลดล็อกคือ การแก้กฎหมายประชามติ จากล็อกสองชั้น “ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามติ” ให้เหลือเพียงล็อกชั้นเดียวคือ “มีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามติ”
หากสามารถแก้ปม “ประชามติ” ให้เหลือล็อกชั้นเดียว โอกาสที่จะผ่านการทำประชามติมีสูง โอกาสที่จะเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร. เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ย่อมสูงขึ้นเช่นกัน
โดยล่าสุด 65 เสียง สส. ภูมิใจไทย โหวตงดออกเสียง หักมติ สว. ให้กลับไปใช้เสียงโหวตประชามติล็อกชั้นเดียว
*ย้ำจุดยืนนิรโทษกรรม ม.112
ปมที่สอง “นิรโทษกรรม” โดยในหลักการ “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” เห็นพ้องให้นิรโทษกรรมผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมายไม่ร้ายแรง ไม่กระทบต่อชีวิตและร่างกาย
แต่โฟกัสหลักอยู่ที่ผู้กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะไม่นิรโทษกรรมโดยเด็ดขาด แต่อาจจะเปิดช่องให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการ” ขึ้นมาพิจารณาเป็นกรณี โดยจะไม่นิรโทษกรรมคดีความผิดตามมาตรา 112 แบบยกเข่ง
*แบ่งเค้กนโยบาย สมประโยชน์
ปมที่สาม หารือถึงแนวนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร โดยเฉพาะนโยบายใหม่ที่จะเกิดขึ้น อาจจะต้องมีการตกลงจัดสรรผลประโยชน์ให้ลงตัว ไม่ทิ้งใคร-ไม่ทิ้งพวก เอาไว้ข้างหลัง
โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง จะเปิดให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม มีระบบการจัดเก็บข้อมูลของตัวเอง และเชื่อมโยงกัน อาทิ การดึงธุรกิจใต้ดินขึ้นมาบนดิน การเปิดให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี การเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ หรือคลาวด์ประเทศ
ทว่า โฟกัสหลักอยู่ที่โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (กาสิโน) เนื่องจาก “ครูใหญ่บุรีรัมย์” หมายมั่นปั้นมือ ต้องการให้ “รัฐบาลแพทองธาร” ใช้ จ.บุรีรัมย์ เป็นหนึ่งในพื้นที่จัดสร้างกาสิโน ซึ่งก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า “นายใหญ่บ้านจันทร์” ไม่อนุมัติ จึงต้องจับตาว่า หลังการหารือ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” หมุดกาสิโนจะถูกปักไปที่ จ.บุรีรัมย์ หรือไม่
เคลียร์โยกย้าย"มหาดไทย"
ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ “บิ๊กคลองหลอด” ที่มีรายการ “นาย” ขอมาในบางตำแหน่ง แต่หากสแกนจากการจัดทัพของค่าย “สีน้ำเงิน” เที่ยวนี้ ผู้ถูกเลือกให้สมหวังล้วนมาจาก บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ที่ยกแผงขึ้นมา
ไล่ตั้งแต่ “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” นั่งอธิบดีกรมการปกครอง “ไชยวัฒน์” จบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ถือเป็นสายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์ เพราะเคยเป็นผู้ว่าฯ บุรีรัมย์มาก่อน กระทั่งเข้ามาเป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) จะเกษียณอายุราชการในปี 2568
“ภาสกร บุญญลักษม์” นั่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขาจบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม และเป็นสายตรงของ “อนุทิน”
“นฤชา โฆษาศิวิไลซ์” นั่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น จบรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือสิงห์แดง ถือเป็นอีกหนึ่งสายตรงบ้านใหญ่บุรีรัมย์
ทั้งหมด คือฉากหลังของการพบกันของสองผู้ยิ่งใหญ่ “ทักษิณ” และ “เนวิน” ทั้งสองเคยเป็น “นาย” และ “ลูกน้อง” เคยเป็นศัตรูทางการเมือง ที่ฝากรอยแค้นกันไว้
การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร เมื่อต้องประสานผลประโยชน์ทางการเมือง จาก “ศัตรู”ย่อมแปรเปลี่ยนเป็น“มิตร”ได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากวันหน้าผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ก็อาจพลิกกลับมาเป็น “ศัตรู”กันได้อีก