พท.- พปชร.ศึกล่า ‘เทวดาดิไอคอน’ ย้อนรอย 2 เคสร้อง ‘กมธ.สคบ.’
คุ้ยโอน 2.5 ล้าน แม่นักการเมือง ส.’ อนุฯ ดีเอสไอสรุป ‘ดิไอคอน’ เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ พท.- พปชร. เปิดศึก ย้อนรอย 2 เคสร้อง ‘กมธ.สคบ.’ สอบ
KEY
POINTS
- “มหากาพย์ดิไอคอน”จนถึงวินาทีนี้ ยังคงมีการเปิด “ตัวละครลับ” กันรายวันไม่ต่างจากศึกการเมืองระหว่าง “บ้านป่ารอยต่อ” และ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่ไล่ทุบกันไปมา
- เปิดตัวละคร กมธ.สคบ. ยุค "ม.มานะ - ม.มนพร" ช่วงปี 2565-2566 มีผู้ที่ไปร้องเรียนต่อ “กมธ.สคบ.” เพื่อตรวจสอบการประกอบธุรกิจขายตรงของบริษัทดิไอคอน อย่างน้อย 2 เคส
- มีคำถามว่า ทั้ง 2 เคสที่เกิดขึ้นเหตุใดจึงจบแค่การไกล่เกลี่ย เสมือนเป็นการ “ตัดตอน” การเอาผิดต่อดิไอคอน กรุ๊ปหรือไม่ “รัฐมนตรีมนพร” เคลียร์ข้อสงสัยว่า นั่นเพราะอำนาจของ กมธ.ไม่ใช่การเอาถูกหรือเอาผิด
“มหากาพย์ดิไอคอน”จนถึงวินาทีนี้ ยังคงมีการเปิด “ตัวละครลับ” กันรายวัน ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางส่งคดี ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับสอบสวนคดี
มีรายงานว่าคณะอนุฯ ของดีเอสไอ สรุปผลเบื้องต้นของรูปคดี ดิไอคอน กรุ๊ป เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ มีข้อมูลอีกว่า จากการสอบสวนเส้นทางการเงินของ “วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ“บอสพอล”ผู้ก่อตั้ง ดิไอคอน กรุ๊ป เพื่อหาข้อมูลว่ามีการโอนเงินให้กับบุคคลใดบ้าง โดยพบว่าตั้งแต่ปี 2564 วรัตน์พล ได้โอนเงินเดือนละ 1 แสนบาท บางเดือน 4-5 แสนบาท รวมยอดสะสม 2.5 ล้านบาท เข้าไปยังบัญชีของ “แม่นักการเมือง ส.”
หลังจากนี้คณะอนุฯ ดีเอสไอ จะพิจารณาผลการสอบเส้นทางการเงินของ “บอสพอล”เพิ่มเติม หากพบว่ามีบุคคลใดที่มีลักษณะการโอนผิดสังเกตจะเรียกตัวมาชี้แจงทันที ก่อนจะส่งข้อมูลทั้งหมดไปยังดีเอสไอชุดใหญ่
ไม่ต่างจากศึกการเมืองระหว่าง “บ้านป่ารอยต่อ” และ “บ้านจันทร์ส่องหล้า”
ฝั่งเพื่อไทยเปิดเกมไล่ทุบ นักการเมือง “ส.” ชัดเจนว่าเป็น สามารถ เจนชัยจิตรวนิช แห่งพลังประชารัฐ กรณีคลิปเสียงสนทนากับ “บอสพอล” หวังเขย่าไปถึงลุงบ้านป่าฯ ในฐานะเป็นลูกรัก และมักถูกเรียกใช้งานสม่ำเสมอ ก่อนหน้านี้ฝั่งบ้านป่าฯ ก็เพิ่งเปิดเกมนิติสงคราม ยื่นยุบพรรคเพื่อไทยไปเมื่อไม่นาน
ล่าสุดยังมีเกมเอาคืนจากฝั่งบ้านป่าฯ ไล่ขุดไปถึงคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.สคบ.) ในยุคที่แล้วซึ่งเป็นยุคเดียวที่ปรากฏคลิปเสียงเรียกทรัพย์จากบอสพอล โยงไปถึง“ส.”สามมิตร แห่งพรรคเพื่อไทย
โดยละครลับที่ “บิ๊กต๊ะ” พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ พูดถึงมีทั้ง นักการเมืองอักษรย่อ “ม.” จ.ชัยภูมิ อยู่พรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ส่วนเลขานุการ กมธ.ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงใน “ครม.แพทองธาร”
“ม” ชัยภูมิ ไม่ต้องเดาให้ยุ่งยาก ไล่เช็กชื่อ กมธ.สคบ.ชุดที่แล้ว แน่นอนว่า หมายถึง “มานะ โลหะวณิชย์”อดีต สส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.ชุดดังกล่าว ส่วน“รมช.”ในรัฐบาลนี้ คือ “ม.” มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ซึ่งเป็นเลขานุการ กมธ.ชุดดังกล่าว
ย้อนปฐมบทไล่ล่า ‘เทวดาดิไอคอน’
ไล่ลึกไปกว่านั้นจากข้อมูลยังพบว่า ช่วงปี 2565-2566 มีผู้ที่ไปร้องเรียนต่อ “กมธ.สคบ.” เพื่อตรวจสอบการประกอบธุรกิจขายตรงของบริษัท ดิไอคอน อย่างน้อย 2 เคส
เคสแรก ในช่วงกลางปี 2565 “ชนะชล ชนะชาติไพรี” ผู้ก่อตั้งชมรมช่วยเหลือผู้เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่ ร้องต่อ กมธ.ขอให้ตรวจสอบการทำธุรกิจ ของบริษัทดิไอคอน
ก่อนที่อนุ กมธ. ศึกษา กลั่นกรอง เรื่องร้องเรียน และสภาพปัญหา การคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นชุดย่อยในกมธ.ชุดดังกล่าวมี “รัฐมนตรี มนพร” เป็นประธาน จะเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง เมื่อวันที่11ส.ค.2565
เวลานั้น “ผู้บริหารดิไอคอน”ชี้แจงว่าในปี 2561 บริษัทยื่นขอจดทะเบียน “ขายตรง” จากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ สคบ.ไม่รับจดทะเบียน เพราะขาดองค์ประกอบขายตรง
ต่อมาปี 2562 บริษัทจดทะเบียนประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ต่อ สคบ.แทนส่วนการจัดอบรมลูกค้าที่มาซื้อสินค้าเพื่อนำไปขายต่อ เพื่อให้ผู้จำหน่ายสินค้ามีความรู้เรื่องเทคนิค และวิธีจำหน่ายสินค้า
บริษัทยัง ชี้แจงด้วยว่า “ไม่เคยแจ้งกับลูกค้า ว่าหากขายสินค้าของบริษัท แล้วจะร่ำรวย ลูกค้าบางคนขายของออนไลน์อยู่แล้ว และซื้อสินค้าบริษัทไปจำหน่ายภายหลัง”
นอกจากนี้ อนุ กมธ.ยังซักถามอีกว่า บริษัทดำเนินการตลาดแบบตรง แต่เหตุใดจึงดำเนินการธุรกิจแบบขายตรง มีตัวแทนจำหน่าย จัดระดับตำแหน่ง มีรถประจำตำแหน่ง
ทางผู้แทนประธานบริษัท ชี้แจงว่า บริษัทต้องการหาตัวแทนรายใหญ่ เพื่อกระจายสินค้าราคาถูก เพราะยิ่งซื้อมากราคายิ่งถูกลงส่วนการจัดระดับชื่อตำแหน่งต่างๆ เพื่อให้ผู้จำหน่าย นำไปใช้ทำมาค้าขายคล่องตัว
ครั้งนั้น คณะ กมธ.พิจารณาแล้ว เห็นควรให้ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานต่างๆ ไปดำเนินการ
1. สำนักงาน สคบ. คณะอนุ กมธ.ขอให้ดำเนินการตรวจสอบ กรณีการโฆษณาที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ อาทิ การแสดงความยินดีกับผู้ได้รับตำแหน่งต่างๆ ของบริษัท ประกอบธุรกิจขายตรงแห่งนี้ และได้รถยนต์หรูประจำตำแหน่ง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าทำธุรกิจขาย สินค้าของบริษัทแล้ว จะได้กำไรมาก และร่ำรวย
2. อนุ กมธ.ขอให้บริษัทประกอบธุรกิจขายตรง ดำเนินการเตือนผู้จำหน่ายสินค้าของบริษัท ไม่ให้โฆษณาเกินจริงเพื่อชวนเชื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าทำธุรกิจขายสินค้าของบริษัท จะได้กำไรมาก และร่ำรวย
ถัดมาเคสที่สอง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2566 คือ กรณีที่นางพัชรินทร์ โกมารกุล ณ นคร ในฐานะผู้เสียหาย ได้ร้องเรียนว่า ลงทุนกับดิไอคอนกรุ๊ปแล้ว ไม่ดำเนินการเป็นไปตามสัญญา
ก่อนที่ต่อมาวันที่ 12 ม.ค.2566 อนุ กมธ.ที่มี “รัฐมนตรีมนพร” เป็นประธานจะเรียกหน่วยวงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง
ตามเอกสารการประชุมระบุว่า ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัท ได้โทรศัพท์ติดต่อ กับผู้เสนอเรื่องเพื่อสอบถามและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ
ในการนี้ ผู้แทนบริษัท ได้แนบเอกสารสำเนาบัตรประชาชนของผู้เสนอเรื่อง ที่ใช้ในการสมัคร เป็นตัวแทนจำหน่าย ซึ่งมีข้อความระบุบนสำเนาบัตรว่า “ใช้สำหรับทำสัญญาหรือสมัครเป็นตัวแทน จำหน่ายกับบริษัทเท่านั้น” เพื่อชี้แจงเป็นหลักฐานต่อคณะอนุกรรมาธิการด้วย และยืนยันว่าผู้เสนอเรื่อง ได้ทราบรายละเอียดต่างๆ ที่มีการระบุไว้ในสัญญาครบถ้วนแล้ว
ขณะที่อนุ กมธ.ได้มีข้อสังเกต 3 ข้อ
1.การที่บริษัทประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง กำหนดให้สัญญาการสมัครสมาชิกเป็นตัวแทน จำหน่ายสินค้าอยู่ในรูปแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้สมัครสมาชิกบางกลุ่มไม่ได้รับความสะดวก หรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึง เช่น ผู้สูงอายุที่ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยี อาจทำให้ทราบรายละเอียด ในการตกลงทำสัญญาที่ไม่ตรงกัน
ดังนั้น บริษัทควรทำสัญญาทั้งในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และรูปแบบ เอกสารเพื่อในผู้สมัครสามารถตรวจสอบความถูกต้องของสัญญา และสามารถลงลายมือชื่อรับรอง ความถูกต้องในเอกสารของตนเองได้
2.ผู้เสนอเรื่องควรตรวจสอบ และทำความเข้าใจรายละเอียดของสัญญาให้เกิดความถูกต้อง ก่อนตกลงทำสัญญา และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารสำคัญทางราชการ ควรระมัดระวัง ในการใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อเป็นหลักฐานในการทำสัญญา
3.บริษัทประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ควรไกล่เกลี่ยปัญหาเพื่อระงับข้อพิพาทดังกล่าว ซึ่งเป็นการรักษาชื่อเสียงของบริษัท ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยโดยคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยเรื่องราวร้องทุกข์ จากผู้บริโภค สำนักงาน สคบ.อีกครั้ง
แจง กมธ.ไร้อำนาจฟันถูก-ผิด
มีคำถามว่า ทั้ง 2 เคสที่เกิดขึ้นเหตุใดจึงจบแค่การไกล่เกลี่ย เสมือนเป็นการ “ตัดตอน” การเอาผิดต่อดิไอคอน กรุ๊ป หรือไม่
ประเด็นนี้ “รัฐมนตรีมนพร” เคลียร์ข้อสงสัยว่า นั่นเพราะอำนาจของ กมธ.ไม่ใช่การเอาถูกหรือเอาผิด ซึ่งขณะนั้นตนเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลด้วยซ้ำ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไปสืบค้นต่อว่า บริษัทนี้ มีลักษณะฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องไปตรวจสอบว่า สินค้ามีคุณภาพหรือไม่อย่างไร
แน่นอนว่า “ตัวละครลับ” ที่ถูกเปิดขึ้นรายวันเวลานี้ เป็นการตอกย้ำเกมไล่ล่าทางการเมืองระหว่าง“ค่ายบ้านป่าฯ” และ “ค่ายบ้านจันทร์ฯ”
ไม่ใช่แค่ “2 ม.” แห่ง กมธ.สคบ. แต่กระทบชิ่งไปถึง “2ส.” สามมิตร รวมถึงคนใกล้ชิดที่เวลานี้อยู่ในชายคาเพื่อไทย ยิงตรงไปที่ “ส.” สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ซึ่งเป็นอดีต รมว.ยุติธรรม และมี “เดอะจ๊อบ” สามารถ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี
ไม่ต่างจาก “ตัวละครลับ” ดิไอคอนที่ถูกเปิดรายวันอยู่ในเวลานี้ย่อมเป็นการตอกย้ำเกมไล่ทุบระหว่าง “ค่ายบ้านป่าฯ” และ “ค่ายบ้านจันทร์ฯ” ที่ยังคงเปิดฉากใส่กันแบบไม่ยั้ง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์