เคลียร์ทาง ‘ยิ่งลักษณ์’กลับไทย ฟื้น‘คดีจำนำข้าว’ ทางรอด ?
สัญญาณเดินทางกลับไทยของ“ยิ่งลักษณ์” ในวันที่เพื่อไทยเรืองอำนาจ ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของ “ทักษิณ” ผู้เป็นพี่ชายที่ระบุว่า อดีตนายกฯผู้น้อง จะกลับมาเล่นสงกรานต์ที่ประเทศไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน
KEY
POINTS
- สัญญาณเดินทางกลับไทยของ“ยิ่งลักษณ์” ในวันที่เพื่อไทยเรืองอำนาจ ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ติกย้ำจากท่าทีของ “ทักษิณ” ผู้เป็นพี่ชายที่ระบุว่า อดีตนายกฯผู้น้อง จะกลับมาเล่นสงกรานต์ที่ประเทศไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน
- กรณีของนายกฯหญิงผู้น้อง ถูกมองว่าอาจตามรอยพี่ชาย ด้วยการใช้ช่องทางในการ“ขอพระราชทานอภัยโทษ”
- กรณีของนายกฯหญิงผู้น้อง มี “ความต่าง” กับพี่ชายตรงที่ แม้จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ แต่ยัง ไม่เข้าเงื่อนไขในการขอ“พักโทษ”ดังเช่นพี่ชาย
-
มีการจับตาไปที่ “ทางลอด(ช่อง)” นั่นคือ“กฎหมายขังนอกคุก ทว่าด้วย “ยี่ห้อชินวัตร”ย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะเกิด“เอฟเฟกต์” ลามในประเด็น“อภิสิทธิ์ชน” เวอร์ชั่น 2 อีกครั้ง
-
อีกช่องทางคือ “รื้อฟื้นคดีจำนำข้าว” ด้วยข้อต่อสู้ “เคยสั่ง”ให้มีการตรวจสอบกรณีทุจริต ไม่ได้ละเลยตามที่ถูกกล่าวหา
-
หลากหลายเหตุปัจจัย ที่ต้องนำมาประกอบกัน โดยเฉพาะ“อดีตรัฐมนตรีบุญทรง” ที่ว่ากันว่า ไม่ยอมตายเดี่ยว ถึงขั้นเคยส่งสัญญาณขู่ มีหลักฐานเด็ดมัดไปถึง “ตัวละคร” ที่เกี่ยวข้องในมหากาพย์จำนำข้าว เว้นเสียแต่ว่าจะมีการเคลียร์ใจในวันที่นายใหญ่คุมอำนาจด้วยตนเอง
นิตยสาร Nikkei Asia รายงานเมื่อวันที่ 18 พ.ย.2567 อ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เพื่อช่วย “ศราวุธ เพชรพนมพร” ผู้สมัครนายกอบจ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยหาเสียง เมื่อ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา
เวิร์ดดิ้งสำคัญช่วงหนึ่งระบุถึง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นน้องสาว ที่ขณะนี้พักอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ระบุว่า พยายามทำให้แน่ใจว่า “ยิ่งลักษณ์”จะได้กลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีหน้า และไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรที่จะขัดขวางเธอไม่ให้ได้กลับบ้าน
“คิดว่าเธออาจจะได้กลับบ้านก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส (ที่เหมาะสม)”
อย่างที่รู้กันว่า สัญญาณเดินทางกลับไทยของ“ยิ่งลักษณ์” ในวันที่เพื่อไทยเรืองอำนาจ ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของ “ทักษิณ” ผู้เป็นพี่ชายที่ระบุว่า อดีตนายกฯผู้น้อง จะกลับมาเล่นสงกรานต์ที่ประเทศไทยในปีหน้าอย่างแน่นอน
ผูกโยงไปกับกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ยิ่งลักษณ์ พร้อมพวก ในข้อกล่าวหาปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต มุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันเสนอราคาอย่างเป็นธรรมกรณีการจัดจ้างโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2022 วงเงิน 240 ล้านบาท
พร้อมมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับ “ยิ่งลักษณ์” อีกด้วย
ย้อนไปไกลกว่านั้น ยังมีคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องอดีตนายกฯ ปมโยกย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี”ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(เลขาฯสมช.)โดยมิชอบ ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2566
ถึงนาทีนี้ “อดีตนายกรัฐมนตรีหญิง”ผู้นี้ จึงเหลือเพียงคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 5 ปี ไปเมื่อ 27ก.ย.2560
ในส่วนของ“คดีอาญา”นั้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะ “ไม่นับอายุความ” กรณีจำเลยหลบหนีระหว่างต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ เท่ากับว่า กระบวนการจะเริ่มนับหนึ่งก็ต่อเมื่อเจ้าตัวกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แน่นอนว่า สัญญาณการเดินทางกลับไทยของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ผู้น้อง ถูกนำไปเปรียบถึงความเหมือน-ต่าง กับคดี“ทักษิณ” ผู้เป็นพี่ชาย ที่ต้องโทษ 3 คดีจำคุกราว 8 ปี ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566 เหลือโทษจำคุก 1 ปีเศษ กระทั่งถูกเสนอพักโทษโดยกรมราชทัณฑ์
ก่อนคืนสู่อิสรภาพไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา และปรากฎตัวทั้งหน้าฉาก และหลังฉากการเมืองในหลายวรรค หลายตอน
จะว่าไปแล้ว กรณีของนายกฯหญิงผู้น้อง ถูกมองว่าอาจตามรอยพี่ชาย ด้วยการใช้ช่องทางในการ“ขอพระราชทานอภัยโทษ” โดยหยิบยกเหตุผลที่ว่า คดีดังกล่าวเป็นเพียงความผิดฐาน “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” ไม่ได้ทุจริต
ในขณะเดียวกันกรณีของนายกฯหญิงผู้น้อง ก็มี “ความต่าง” กับกรณีของพี่ชายตรงที่ แม้ที่สุด“ยิ่งลักษณ์”จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ แต่ยังมีคดีความติดตัวในวันที่เดินทางกลับไทย ไม่ว่าจะเป็นกี่ปีหรือกี่เดือน อดีตนายกฯ จะไม่เข้าเงื่อนไขในการขอ“พักโทษ”ดังเช่นพี่ชายที่เข้าเกณฑ์ “อายุ 70 ปีขึ้นไป มีภาวะป่วยชราภาพ”
เป็นเช่นนี้ จึงมีการจับตาไปที่ช่องทาง ในขยักต่อไป ช่องทางแรก คือการใช้ “ทางลอด(ช่อง)” ตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 กฎกระทรวงยุติธรรม และระเบียบที่ออกมาเมื่อ 6 ธ.ค. 2566 คือระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายขังนอกคุก”
ทว่า ในช่องทางนี้เองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วย “ยี่ห้อชินวัตร”ย่อมสุ่มเสี่ยงที่จะเกิด“เอฟเฟกต์” ลามไปยังพรรคเพื่อไทย รวมถึงรัฐบาล ที่จะถูกเขย่าในประเด็น“อภิสิทธิ์ชน” เวอร์ชั่น 2 กลับมาอีกครั้ง
ดังนั้น “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” รวมถึงพลพรรค อาจต้องชั่งน้ำหนักความคุ้มได้-คุ้มเสียถึงผลที่จะตามมา
ว่ากันว่า นอกเหนือจากการใช้ช่องลอดจากกฎหมายราชทัณฑ์แล้ว ยังมี ช่องทางที่สอง นั่นคือการ “รื้อฟื้นคดีจำนำข้าว” โดยใช้ข้อต่อสู้ที่ว่า “ยิ่งลักษณ์” ทราบถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น จึงตั้ง “บุญทรง เตริยาภิรมย์” รมว.พาณิชย์ ในขณะนั้นไปตรวจสอบ
สิ่งที่ฝั่ง “ยิ่งลักษณ์” พยายามจะหยิบมาเป็นข้อโต้แย้งคือ ในฐานะฝ่ายบริหารไม่ได้ “ละเลย” ตามที่ถูกกล่าวหา ต่างจาก“บุญทรง”ที่ถือว่าปฏิบัติแล้ว และไม่ได้มีการดำเนินการต่อ จนทำให้เกิดการทุจริต
ฉะนั้น สิ่งที่อดีตนายกฯพยายามพิสูจน์คือ “เคยสั่ง”ให้มีการตรวจสอบกรณีทุจริต โดยเฉพาะ“หนังสือคำสั่ง”แบบเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งต้นเรื่องอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ และเป็นกระทรวงภายใต้การกำกับดูแลของพรรคเพื่อไทยเวลานี้
ประเด็นนี้ หากยังจำกันได้ในช่วงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งปรากฎซีนที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ในเวลานั้น ที่เดินสายโชว์กินข้าว โครงการรับจำนำข้าว 10 ปีเป็นระยะ นัยที่ต้องการสื่อคือ ผลงานกระทรวงพาณิชย์ในการบริหารจัดการข้าวในสต็อกได้
อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ว่า ความเสียหายไม่ได้เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว แต่เกิดจากการขายข้าว ของรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำหนดราคาข้าวแต่ละประเภท
แถมเวลานั้นว่ากันว่า มีการส่งบทให้“ภูมิธรรม” ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล และขุนพลคนสำคัญของนายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้าโชว์ซีนพิสูจน์ข้าว 10ปี สื่อนัยถึงการเคลียร์ทาง“คดีรับจำนำข้าว” เปิดทางสู่การเดินทางกลับไทยของอดีตนายกฯหญิง ในท้ายที่สุด
แต่กระนั้นการใช้ช่องทางนี้ทั้งหมดทั้งมวล ก็ต้องขึ้นอยู่กับหลากหลายเหตุปัจจัย ที่ต้องนำมาประกอบกัน โดยเฉพาะ“อดีตรัฐมนตรีบุญทรง” ที่ว่ากันว่า ไม่ยอมตายเดี่ยว ถึงขั้นเคยส่งสัญญาณขู่ มีหลักฐานเด็ดมัดไปถึง “ตัวละคร” ที่เกี่ยวข้องในมหากาพย์จำนำข้าว เว้นเสียแต่ว่าจะมีการเคลียร์ใจหรือมีข้อแลกเปลี่ยนอันเป็นที่น่าพึงพอใจในวันที่ "นายใหญ่" คุมอำนาจด้วยตนเอง
ถึงนาทีนี้ แม้สัญญาณจากจากฟากฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะ “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร แม้ล่าสุดจะยังปฏิเสธว่า ยังไม่ได้รับการประสานกลับไทยจาก “อดีตนายกฯปู” ผู้เป็นอา
แต่การออกมาพูดถึงประเด็นนี้ของ “นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ” ผู้เป็นพ่อ ย่อมสื่อนัยสำคัญที่ต้องจับตาหลังจากนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้