ตรวจคดี ‘คีย์แมน’ โกงข้าวจีทูจี ทยอยพักโทษตามรอย ‘บุญทรง’
ทั้งหมดคือความเป็นไปของบรรดา “นักการเมือง-บิ๊กข้าราชการ-เอกชนโรงสีข้าว” ที่เข้าไปพัวพันกับขบวนการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” อย่าง “ระบายข้าวจีทูจี” ที่ถูก ป.ป.ช.และสังคมตราหน้าว่าเป็นการโกงที่ยิ่งใหญ่ และเสียหายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมือง
KEY
POINTS
- ไม่ใช่แค่ “บุญทรง” ที่ได้รับการพักโทษจากคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี หลังเขาติดคุกไปราว 7 ปีเศษ
- แต่ยังมี “นักการเมือง-อดีตบิ๊กข้าราชการ” อาจเข้าข่ายได้รับการพักโทษด้วย
- ทั้ง “ภูมิ สาระผล” ได้พักโทษตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีก่อน “มนัส” อายุเกิน 60 ปี อาจเข้าข่ายด้วย
- “หมอโด่ง” คีย์แมนสำคัญของคดี ยังคงหลบหนีอยู่ ตั้งแต่วันไต่สวนในศาลครั้งแรก ผ่านไปแล้วเกือบ 10 ปี
- “ฑิฆัมพร” ไม่ปรากฏข้อมูลว่า ได้รับการพักโทษหรือไม่ “เสี่ยเปี๋ยง” อด เพราะยังโดนคดีอื่นอยู่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กรณีกรมราชทัณฑ์พักโทษ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ หลังติดคุกไปแล้วกว่า 7 ปีเศษ ในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ถูก “ฝ่ายตรงข้าม” นำมาจุดประเด็นขยายแผลเงื่อนปม “เปิดทาง” ให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน
เพราะ “บุญทรง” คือหนึ่งในตัวละครสำคัญของ “คดีระบายข้าวจีทูจี” ในสมัย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ระหว่างปี 2555-2556 เขามีบทบาทกำกับดูแล “กรมการค้าต่างประเทศ” ในการขายข้าว และผลิตผลทางการเกษตรแบบจีทูจี จนสุดท้ายถูกขุดคุ้ยพบว่า มีการทุจริตเกิดขึ้น ส่งผลให้นโยบายเรือธงอย่าง “จำนำข้าว” ต้องพังครืน และนำไปสู่การตั้งข้อหาแก่ “ยิ่งลักษณ์” จนศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 5 ปี ฐานละเลยต่อหน้าที่โดยทุจริต ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการจำนำข้าว จนต้องหลบหนีคดีไปต่างประเทศอยู่ ณ เวลานี้
คดี “ระบายข้าวจีทูจี” ตามสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และตามคำพิพากษาของศาล สรุปได้ว่า โครงการระบายข้าวจีทูจี เป็นหนึ่งในกลไกของโครงการจำนำข้าว เพื่อระบายข้าวที่ถูกจำนำในสต็อกของรัฐบาลออกไป โดยมีการติดต่อกับนิติบุคคลตัวแทนจากจีนเพื่อจำหน่ายในราคาต่ำกว่าตลาด
จากการตรวจสอบพบว่า มิได้มีการนำข้าวดังกล่าวขายจริง เพราะนิติบุคคลจากจีนดังกล่าว มิได้ถูกรับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีนจริง แต่กลับนำข้าวไปขายต่อในราคาต่ำกว่าตลาดให้กับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ที่มี “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาติ จันทร์สกุลพร พ่อค้าข้าวชื่อดัง ตั้งแต่ยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นตัวการ ก่อนที่บริษัท สยามอินดิก้าฯ จะนำข้าวไปเวียนขายต่อให้โรงสีภายในประเทศหลายแห่ง รวมเบื้องต้น 8 สัญญา เสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาท
“บุญทรง” ในฐานะ รมว.พาณิชย์ มีหน้าที่กำกับดูแลโครงการระบายข้าวจีทูจี และ “กรมการค้าต่างประเทศ” ที่เป็นหน่วยงานหลักในการขายข้าวแบบจีทูจี จึงผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 42 ปี
อย่างไรก็ดีระหว่างอยู่ในเรือนจำ เขามีสถานะเป็น “นักโทษชั้นเยี่ยม” จึงเข้าเงื่อนไขได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดวันต้องโทษอย่างน้อย 4 ครั้ง ระหว่างปี 2562-2564 จากโทษ 42 ปี เหลือโทษจำคุก 10 ปี และได้รับการพักโทษหลังถูกจำคุก 7 ปีเศษ เหลือคุมประพฤติอีก 3 ปี 5 เดือนเศษ ซึ่งเขากลับไปพักโทษที่เชียงใหม่
แต่ “บุญทรง” ยังเหลือชนักปักหลังอีกอย่างน้อย 2 คดี ได้แก่ 1.ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตระบายมันสำปะหลัง (มันเส้น) แบบจีทูจี สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนระหว่างฝ่ายอัยการ และฝ่าย ป.ป.ช. เรื่องยังไม่ถึงศาล
2.คดีถูก ป.ป.ช.ไต่สวนว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หลังจากพ้นตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เมื่อปี 2556 โดยพบเส้นทางการเงินให้ “นอมินี” ซึ่งเป็นญาติถือครองทรัพย์สินแทน ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการไต่สวนใน ป.ป.ช. ทว่าคดีดังกล่าวอาจมีประเด็นทางข้อกฎหมาย เนื่องจาก “บุญทรง” พ้นตำแหน่งมานานกว่า 10 ปีแล้ว และยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา
3.คดีชดใช้ค่าเสียหายในโครงการระบายข้าวแบบจีทูจีภาคแรก ซึ่งศาลปกครองมีคำพิพากษาออกมาเมื่อปี 2564 ให้เขาชดใช้ค่าเสียหายกว่า 1,768 ล้านบาท จากยอดรวมทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันยังต้องถูกบังคับคดีอยู่
มิใช่มีแค่ “บุญทรง” เพียงคนเดียวที่ได้รับการพักโทษจากคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี แต่บรรดา “ผู้ต้องขัง” คดีนี้อีกหลายคน อาจได้รับการพักโทษไปแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างที่ปรากฏข้อมูลต่อสาธารณะ ได้แก่ “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ ที่ถูกศาลระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับดูแลการระบายข้าวแบบจีทูจี ศาลพิพากษาจำคุก 32 ปี ได้ลดวันต้องโทษ 2 รอบในปี 2564 เหลือโทษจำคุก 8 ปี และได้รับการพักโทษไปเมื่อเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา ครบกำหนดการคุมประพฤติในวันที่ 25 ส.ค. 2568 แต่เช่นเดียวกับ “บุญทรง” เขาถูกศาลปกครองสั่งชดใช้ค่าเสียหายกว่า 2,242 ล้านบาท
ขณะที่นักการเมืองอีกราย ซึ่งถูกสื่อตั้งข้อสังเกตว่าเป็น “คีย์แมนสำคัญ” คือ “หมอโด่ง” พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ อยู่ลากยาวตั้งแต่ตั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์เมื่อปี 2554 จนพ้นตำแหน่งในปี 2556 นั้น ถูกระบุว่า เป็นผู้ประสานงานระหว่างฝ่ายเอกชน และฝ่ายรัฐในการกระทำทุจริตนั้น ได้หลบหนีคดี ไม่มาตามนัดไต่สวนคดีครั้งแรกตั้งแต่ปี 2558 ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่มาฟังคำพิพากษาด้วย ซึ่งศาลพิพากษาจำคุกรวม 72 ปี แต่คงโทษจำคุกได้เพียง 50 ปี ปัจจุบันเขาหลบหนีเกือบ 10 ปีแล้ว แต่หมายจับยังคงมีผลอยู่ เนื่องจากตามกฎหมายใหม่ของ ป.ป.ช. ทำให้คดีทุจริต ไม่มีอายุความกำหนด
ส่วน “บิ๊กข้าราชการ” ที่ถูกระบุว่าเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนแรกคือ “มนัส สร้อยพลอย” เมื่อครั้งเป็นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเขาถูกกล่าวหาพัวพันว่ามีส่วนร่วมในการทำโครงการระบายข้าวจีทูจีมาตั้งแต่ต้น โดยศาลพิพากษาจำคุก 40 ปี ได้ลดวันต้องโทษ 2 ครั้งในปี 2564 เหลือโทษจำคุก 8 ปี ซึ่งตามกำหนดเดิมเขาจะต้องพ้นโทษในปี 2568 อย่างไรก็ดีด้วยอายุของ “มนัส” ที่เกิน 60 ปีไปแล้ว อาจมีความเป็นไปได้ว่าเขาได้รับการพักโทษไปก่อนหน้า “บุญทรง” และ “ภูมิ”
อีกราย “ทิฆัมพร นาทวรทัต” อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ศาลพิพากษาจำคุก 32 ปี ซึ่งมีบทบาทไม่หยิ่งหย่อนไปกว่า “มนัส” อย่างไรก็ดีแทบไม่ปรากฏข่าวคราวของเขาออกมาภายหลังถูกจำคุก และไม่ทราบรายละเอียดว่าเขาเข้าเงื่อนไขได้รับพระราชทานอภัยโทษ และได้ลดวันต้องโทษหรือไม่
ส่วนกลุ่มเอกชนอย่าง “สยามอินดิก้า” ได้แก่ “เสี่ยเปี๋ยง” ตัวการรายสำคัญที่ถูกระบุในคำพิพากษาของศาล มีพยานหลักฐานมัดเป็นแคชเชียร์เช็คสั่งให้ลูกน้องไปถอนออกมา เพื่อสั่งจ่ายค่าข้าวที่ถูกนำมาเวียนขายภายในประเทศ ถูกพิพากษาจำคุก 48 ปีเศษนั้น ได้ลดวันต้องโทษจนเหลือติดคุกราว 6 ปีเศษ ซึ่งมีรายงานว่าถูกกำหนดวันพ้นโทษคือ 26 ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีตัวเขายังถูกอายัดไว้ในเรือนจำ เนื่องจากยังมีคดีอื่น ๆ อยู่ระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้ตัวเขายังถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกในคดีอื่น ๆ ด้วย เช่น คดีบ้านเอื้ออาทร ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 50 ปี ร่วมกับ “วัฒนา เมืองสุข” อดีตนักการเมืองชื่อดัง เป็นต้น
ทั้งหมดคือความเป็นไปของบรรดา “นักการเมือง-บิ๊กข้าราชการ-เอกชนโรงสีข้าว” ที่เข้าไปพัวพันกับขบวนการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” อย่าง “ระบายข้าวจีทูจี” ที่ถูก ป.ป.ช.และสังคมตราหน้าว่าเป็นการโกงที่ยิ่งใหญ่ และเสียหายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมือง