11 ปี ขัง (เกือบลืม) ‘อุยกูร์’ หลังฉากสยบจีน สะเทือนไทย

11 ปี ขัง (เกือบลืม) ‘อุยกูร์’ หลังฉากสยบจีน สะเทือนไทย

จากฉากหน้ามาสู่ฉากหลัง เรื่องนี้คาราคาซังมาเกือบ 11 ปี จนมาถึงรัฐบาลนายกฯแพทองธาร ทางการจีนก็จับจ้องท่าทีของไทย พยายามประสานขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ

เหตุการณ์ลอบวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ (วางระเบิดศาลพระพรหมฯ) แยกราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพฯ ในเดือนสิงหาคม ปี 2558 เกิดขึ้นหลังทางการไทยส่งตัว ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ 109 คนให้กับจีน 1 เดือนให้หลัง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บนับร้อยคน ต่อมาจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อเหตุชาวอุยกูร์ได้ 2 คน ส่งผลกระทบประเทศไทยทั้งในประเทศ นอกประเทศ อย่างรุนแรง 

หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการตอบโต้การกระทำของทางการไทย ที่ตัดสินใจอย่างไร้มนุษยธรรม 

รัฐบาล คสช. ในขณะนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า บังคับส่งตัว ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 109 คนให้ทางการจีน โดยถูกใส่กุญแจมือ ใช้ถุงดำคลุมศีรษะ พาขึ้นเครื่องบินกลับประเทศจีน โดยไม่มีใครรู้ชะตากรรมของพวกเขาอีก       

ผ่านมา 3 รัฐบาล ผ่านไป 10 ปี ไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์อีก 40 คนให้ทางการจีน รับตัวกลับไปอีก 

ย้อนไปยังจุดเริ่มต้น เดือนมีนาคม 2557 ชาวอุยกูร์นับร้อยคนลี้ภัยเข้ามาทางภาคใต้ของไทย  ถูกพบและจับกุมตัวได้ในสวนยางพารา อ.รัตภูมิ จ.สงขลาทั้งหมดต้องการไปประเทศตุรกี และทางการตุรกีพร้อมรับพวกเขา แต่รัฐบาลไทยขณะนั้นกลับปฏิเสธ โดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจน

ก่อนที่กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ จะถูกกระจายไปคุมขังในสถานกักตัวสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือตม.ทั่วประเทศ ยาวนานเกือบ 11 ปี

ชาวอุยกูร์ส่วนที่เหลือ ถูกส่งกลับซ้ำรอยกับกลุ่มก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้ ประชาคมโลกไม่ปล่อยผ่าน สถานการณ์ของไทยที่กำลังเผชิญแรงเสียดทานจากนอกประเทศเริ่มน่าเป็นห่วง แม้ทางการไทยจะพยายามชี้แจงถึงเหตุผลต่างๆ และการรับประกันของทางการจีน 

เนื่องจากรัฐบาลจีน เคยใช้มาตรการเด็ดขาด ในการจัดการด้านวัฒนธรรมและศาสนาชาวอุยกูร์ กลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเอง ซินเจียง-อุยกูร์ ซึ่งเป็นมณฑลที่มีพื้นที่มากที่สุดของจีน

เช่น การห้ามประกอบพิธีทางศาสนาหรือการถือศีลอด ส่งผลให้ชาวอุยกูร์จำนวนไม่น้อยต้องการลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา สภาอุยกูร์โลก World Uyghur Congress : WUC เปิดเผยว่า มีผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เสียชีวิตภายใต้การควบคุมดูแลของทางการไทยแล้วอย่างน้อย 5 ราย ขณะที่ภาคประชาสังคมตั้งข้อสังเกตว่า การเสียชีวิตของชาวอุยกูร์ในสถานกักตัวของ ตม. ไทยนั้น สะท้อนคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่และแออัด

กระทั่ง ต้นปีนี้ 11 มกราคม 2568 สภาอุยกูร์โลกเผยแพร่แถลงการณ์ ระบุว่า กลุ่มชายชาวอุยกูร์ได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือโดยด่วนจากชุมชนระหว่างประเทศ รวมถึงองค์กรและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากที่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยได้หารือเกี่ยวกับการส่งพวกเขากลับไปจีน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ไทยเตรียมการสำหรับวันครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของแรงกดดันจากปักกิ่งในการให้ส่งตัวกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ให้ทางการจีน

ถัดมา 26 กุมภาพันธ์ 2568 สภาอุยกูร์โลก เผยแพร่แถลงการณ์อีกครั้ง เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 48 คนไปยังจีน หลังจากมีรายงานกำหนดการว่าไทยจะส่งตัวกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ให้จีนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์

จากฉากหน้ามาสู่ฉากหลัง แม้เรื่องนี้จะคาราคาซังมาเกือบ 11 ปี จนมาถึง รัฐบาลเพื่อไทย ของ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ทางการจีนก็จับจ้องท่าทีของไทยมาโดยตลอด และพยายามประสานขอให้ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับอย่างต่อเนื่อง

หลังพ้นยุครัฐบาล คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จีนไม่ได้ขยับเรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อเปลี่ยนผ่านมายังรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ก็มีสถานการณ์ลักษณะเดียวกัน เมื่อจีนขอตัวชาวอุยกูร์กลับอีก ท่ามกลางเสียงทักท้วงจากตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา และอียู ที่ย้ำกับไทยว่า หากส่งกลับพวกเขามีโอกาสไม่รอด

ขณะเดียวกัน การที่อุยกูร์ ถูกไทยกักขังไว้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องดีกับฝ่ายใด โดยเฉพาะพวกเขาเอง  

อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงของรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ภูมิธรรม เวชยชัย ตัวแทนรัฐบาล ที่ระบุว่า การตัดสินใจ ส่วนหนึ่งคือ ไม่มีประเทศที่สามพร้อมรับไป จนกลายเป็นภาระของไทย อีกทั้งยังสำทับด้วยอีกหลายฝ่ายของทางการไทย 

แม้จะมีคำยืนยันดังกล่าว ทว่า “ข้อมูลอีกด้าน” หลายคนที่เป็นหนังหน้าไฟ อาจไม่รับทราบว่า สถานการณ์ในช่วงรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ก็ถูกจีนกดดันเช่นกัน โดยขณะนั้นสหรัฐอเมริกาไฟเขียวให้ไทยทยอยส่งอุยกูร์ไปให้บางส่วน เช่นเดียวกับมาเลเซียก็พร้อมรับส่วนหนึ่ง แล้วส่งต่อไปยังตุรกี ซึ่งตุรกีก็ไม่มีปัญหาในการรับเช่นกัน

โดยการขอรับชาวอุยกูร์ไปบางส่วน ของ 2-3 ประเทศ ก็เพื่อดูท่าทีจีน และประเมินสถานการณ์ที่จะตามมา

ความเคลื่อนไหวของไทยในการหารือกับประเทศที่สามเหล่านี้ กลับปรากฎว่า ทางการจีนก็รับรู้เช่นกัน แต่ไทยได้แก้ปัญหา โดยระบุว่าชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ กำลังอยู่ในกระบวนการทางศาล ฉะนั้น การจะส่งกลับไปก็ต้องทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน ไทยจึงแจ้งทางการจีนว่า ยังไม่ส่งไปประเทศที่สาม ณ เวลานั้น 

สถานการณ์ในช่วงรัฐบาลเศรษฐา จึงถือว่าไทยยังยื้อไว้ได้ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน โดยเฉพาะหากส่งอุยกูร์ไปประเทศที่สาม ไทยจึงคงดูแลไว้เช่นเดิม เพื่อดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม ในการส่งไปยังประเทศที่ปลอดภัย ตามหลักการสิทธิมนุษยชน ที่จะส่งผู้ลี้ภัยไปในที่อันตรายไม่ได้

แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ยอมรับว่า "ทางการจีนคุยกับไทยมาตลอดเรื่องนี้ ทวงถามว่าเมื่อไหร่จะส่งกลับ เราก็จะดึงเรื่องว่า ยังไม่ใช่เวลา ก็เพราะไม่มั่นใจว่า ส่งไปแล้วจะปลอดภัย เพราะตอนรัฐบาล คสช.ส่งกลับไป จนเกิดเหตุที่ราชประสงค์"  

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนท่าทีของไทย ในรัฐบาลแพทองธาร มีข้อสังเกตว่า น่าจะมีความเชื่อมโยงกับเรื่องที่จีนมาดำเนินการเรื่องแก๊งคอลเซนเตอร์ เป็นจังหวะที่จีนกดดันรัฐบาลไทยให้ส่งอุยกูร์กลับ 

ว่ากันว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีความมั่นคงของจีน ส่งสัญญาณชื่นชมฝ่ายไทยว่าทำดี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรับรู้แล้วว่า ไทยมีข้อตกลงเรื่องการส่งกลับอุยกูร์ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลแล้ว

ชัดเจนว่า เมื่อทางการไทย โดยรองนายกฯภูมิธรรม ยอมรับว่านายกฯแพทองธาร ได้พูดคุยประเด็นนี้ ระหว่างที่ไปเยือนจีน ดังนั้นหากระดับผู้นำพูดคุย และมีการรับปากแล้ว การดำเนินการย่อมเป็นเรื่องง่าย 

เมื่อดีลไม่ลับ ระดับรัฐบาลจบแล้ว ปฏิบัติการจึงเริ่มทันที โดยทั้งทางการไทย ทางการจีนไม่เปิดเผย ไม่สื่อสารอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะก่อนดำเนินการใดๆ จนกลายเป็นจุดอ่อนที่สุ่มเสี่ยงสำหรับสถานการณ์ที่ตามมา

เวลานี้ กลับกลายเป็นว่า ไทยถูกมองว่า เลือกข้าง ยอมสยบให้จีน จนยากจะอธิบายกับสังคมโลกได้ และยังต้องตามแก้ปัญหา เรื่องความมั่นคงที่ถูกจับตาว่า จะมีสถานการณ์เอาคืนซ้ำรอยเดิมหรือไม่

ดีลลับ สทร.ครั้งนี้ กำลังชักศึกเข้าบ้าน สะเทือนต่อคนทั้งชาติ และรัฐบาลพ่อเลี้ยง ต้องเผชิญวิบาก ไปต่ออย่างยากลำบากยิ่งขึ้น