ใบเสร็จ ซักฟอก'2 นายกฯ' - 'ณัฐพงษ์' หวังผลอาฟเตอร์ช็อก‘รัฐบาล’

"ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการเปิดซักฟอก "แพทองธาร ชินวัตร" นายกฯ เพียงคนเดียว เป็นไปเพื่อต้องการเปิดข้อเท็จจริงถึงการปล่อยให้ "ทักษิณ" ชี้นำนายกฯ
KEY
POINTS
- "ณัฐพงษ์ เรืองปั
“พวกเราต้องการสะท้อนให้เห็นปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ ตั้งแต่ตอนผสมพันธุ์ข้ามขั้ว จนถึงยุคของคุณแพทองธาร ชินวัตร ที่เราหลายๆ คนรับทราบปัญหากันดี คนที่มีอำนาจตัดสินใจตัวจริงในรัฐบาลชุดนี้ อาจจะไม่ใช่คุณแพทองธาร แต่เป็นคุณทักษิณ ชินวัตร”
หัวหน้าเท้ง “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ผู้นำพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในวัย 37 ปี ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ภายในรัฐสภา ถึงการนำ สส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน เปิดแผล “แพทองธาร ชินวัตร” ผ่านญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151
โดยข้อกล่าวหาพุ่งเป้าไปที่ “นายกฯ หุ่นเชิด” ยินยอมให้บิดา “ทักษิณ ชินวัตร” ชี้นำ ชักใย การบริหารประเทศ
ล่าสุด วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งหนังสือขอให้ผู้นำฝ่ายค้านฯ แก้ไขญัตติที่มีการพาดพิงถึง “ทักษิณ” ที่เป็นบุคคลภายนอกสภาฯ ทว่า “เท้ง ณัฐพงษ์” กลับเห็นแย้ง
“ประธานสภาฯ ควรจะต้องมีความเป็นกลาง ในแง่ที่ต้องพยายามถ่วงดุลทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายบริหาร ในฐานะที่เราเป็นกลไกนิติบัญญัติ ควรพิจารณาบรรจุญัตตินี้ด้วยความตรงไปตรงมา เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับฯ”
ท้วง "วันนอร์"อุ้ม 'ทักษิณ'
“ณัฐพงษ์” ระบุว่า บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 151 ไม่ได้ให้อำนาจประธานสภาฯ ในการใช้ดุลพินิจว่าจะบรรจุหรือไม่ เรื่องนี้เราเข้าชื่อกันครบ ก็ต้องบรรจุโดยเร็วที่สุด
"ผมเชื่อว่าจะเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านอภิปรายได้ตรงจุดมากขึ้น ไม่ต้องเลี่ยงคำ เลี่ยงบาลี เพราะชื่อคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ปรากฎอยู่ในตัวญัตติเอง ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ ด่านแรกในการอภิปรายฯ คุณแพทองธาร ได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องอ้อมค้อมในสภาฯ”
“เสียงที่ผมได้รับสะท้อนมา ทางรัฐบาลและประธานสภาฯ ก็มีข้อกังวลว่าไม่ยอมบรรจุญัตตินี้ โดยใช้ข้ออ้างที่บอกว่า อาจจะผิดข้อบังคับฯถ้าเราไปดูตามข้อบังคับฯ อีกทั้ง การอภิปรายที่กล่าวถึงคนนอกสภาฯ สามารถทำได้ ถ้ามีเหตุจำเป็นกรณีที่สมาชิกอภิปราย พาดพิงถึงคนนอกแล้วทำให้เกิดความเสียหาย คนรับผิดชอบคือตัวสมาชิกเอง ไม่ได้เกี่ยวกับตัวประธานรัฐสภาแต่อย่างใด”
ส่วนกรอบเวลาการอภิปราย ผู้นำฝ่ายค้านฯ ไม่เห็นด้วยกับท่าทีรัฐบาลที่รวบรัดเพียง 1 วัน โดยมองว่า ถ้ามีการบรรจุญัตติแล้ว ควรให้เวลาฝ่ายค้าน 4 วัน เหมาะสมที่สุด
"ถ้าดูบริบทในสมัยก่อน ตอนที่ฝั่งของพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านกับพรรคก้าวไกลในอดีต เรามีการยื่นขออภิปรายในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไว้หลายวันพอสมควร แล้วผมก็ไม่คิดว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเรียกร้องในวันนั้นในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างน้อยๆ สัก 3-4 วันขึ้นไป จุดยืนไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง พอพรรคเพื่อไทยกลับกลายมาเป็นรัฐบาล ผมก็ไม่เชื่อว่า ไม่อยากเห็นภาพว่าพรรคเพื่อไทยเซ็นเซอร์พรรคฝ่ายค้านไม่ให้เรามีเวลาในการตรวจสอบ"
"ที่วันหนึ่งคุณเคยเรียกร้องการอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณต้องใช้เวลาได้อย่างเต็มที่ แต่พอวันหนึ่งที่คุณมาเป็นรัฐบาล คุณก็พยายามลดบทบาท ให้โอกาสฝ่ายค้านในการการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น้อยมาก”
“ณัฐพงษ์” ชี้ว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุดต่อประชาชนก็คือ การเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านตรวจสอบถ่วงดุลเต็มที่ ข้อมูลที่พรรคฝ่ายค้านนำเสนอข้อมูลในสภา สุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน
ซักฟอกข้อหานายกฯ หุ่นเชิด
เมื่อถามถึงการหวังผลในศึกซักฟอกครั้งนี้ ณัฐพงษ์ระบุว่า "หลายๆ ครั้ง เราเห็นการขึ้นเวที การให้ข่าวของคุณทักษิณ ที่ชี้นำการตัดสินใจของรัฐบาลด้วยซ้ำ แล้วสุดท้ายก็เกิดการกระทำนั้นขึ้นจริง ผมเชื่อว่าสังคมตอนนี้เราเห็นกันอยู่ว่า ใครที่เป็นผู้มีอำนาจตัวจริงในรัฐบาล สิ่งที่เรายื่นอภิปรายฯ คุณแพทองธาร เพียงคนเดียว เราต้องการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะปัญหาการควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเห็นได้จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ"
“ถ้าคุณแพทองธาร เข้ามาตอบทุกข้อซักถามของฝ่ายค้านด้วยตัวเองในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็จะแสดงในเรื่องภาวะความเป็นผู้นำ และอีกหลายๆ คำตอบที่สังคมกำลังตั้งข้อสงสัยอยู่ว่า คุณแพทองธาร คือผู้นำประเทศตัวจริง”
ส่วนข้อกล่าวหาในญัตติที่ดูรุนแรง ทั้งที่นายกฯเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศ 6 เดือน ณัฐพงษ์ ชี้ว่า การตอบคำถามที่มีการแถลงข่าว จะเห็นว่านายกฯ เองไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจตัวจริง ไม่ได้มีข้อมูลในการให้คำตอบที่เป็นข้อมูลจริงๆ เช่น มีการส่งชาวอุยกูร์กลับไปที่ประเทศจีน นายกฯ ก็มาให้ข่าวว่า ยังไม่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร การเจรจาเหตุการณ์สำคัญๆ แบบนี้ มีคนไม่กี่คนในรัฐบาลเท่านั้นที่รู้เรื่อง
“แสดงให้เห็นการตอบคำถามของตัวนายกฯ ที่ปฏิเสธการตอบคำถามหลายๆ อย่างแล้วแสดงออกว่า พูดว่าไม่มีข้อมูล ไม่รู้เรื่องมาโดยตลอด เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า ตกลงเป็นนายกฯ ตัวจริงหรือไม่”
ทั้งนี้ พรรคประชาชนต้องการใช้เวทีซักฟอกนายกฯ หุ่นเชิดครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ว่า ผู้มีอำนาจตัวจริงเป็นคนกำหนดเกม กำหนดบทบาทในการบริหารประเทศ ไม่ใช่ “แพทองธาร ชินวัตร” โดยอาศัยเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ สะท้อนภาพนี้ให้ชัดที่สุด
งัดใบเสร็จแฉ นายกฯ ไร้คุณสมบัติ
“ให้ประชาชนเห็นชัดที่สุดว่า ทุกปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขาดประสิทธิภาพภาครัฐ การทุจริตคอร์รัปชัน หรือการเอื้อประโยชน์โดยใช้กลไกอำนาจรัฐให้พวกพ้องตัวเอง สุดท้ายยึดโยงไปที่การจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ ที่ตัวนายกฯ เองไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง ไม่สามารถควบคุมเสียงภายในรัฐบาลได้”
สำหรับการอภิปรายที่พรรคประชาชนเน้นซักฟอก จะครอบคลุมประเด็นใหญ่ อาทิ เขากระโดง การทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนข้อมูลเชิงลึก พรรคฝ่ายค้านจะชี้ให้ประชาชนเห็นว่ารัฐมนตรี และนายกฯ ขาดคุณสมบัติอย่างไรในการตำแหน่งรัฐมนตรี
“มีหลายอย่างที่ค่อนข้างมีใบเสร็จ ในเรื่องการขาดคุณสมบัติของตัวรัฐมนตรี ตัวนายกฯด้วย เรื่องนี้ก็น่าจะสร้างแรงกระเพื่อมได้พอสมควร” ณัฐพงษ์ระบุ
ไม่จับมือ พท.ตลอดสมัยนี้
ถามถึงเป้าหมายของพรรคประชาชนในการอภิปรายครั้งนี้ต้องการจะนวดรัฐบาลไปก่อนถึงการเลือกตั้งปี 2570 หรือไม่ ณัฐพงษ์ ปฏิเสธว่า "ไม่มีแน่นอนครับ ผมพูดมาหลายๆ เวทีแล้วสำหรับสภาชุดนี้ยังไง พรรคประชาชนก็ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป จนจบชุดนี้แน่นอน ส่วนการเลือกตั้งใหม่ เดี๋ยวว่ากัน เราก็เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งอีกสนาม ส่วนสภาฯ ชุดนี้ไม่ว่าผลอภิปรายไม่ไว้วางใจออกมาอย่างไร พรรคประชาชนไม่มีทางจะไปเข้าร่วมรัฐบาลแน่นอน"
ถามอีกว่า ถ้าวันใดวันหนึ่ง มีพรรคหนึ่งพรรคใดออกจากสมการร่วมรัฐบาลไป พรรคประชาชนก็จะไม่ร่วมกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยตลอดสมัยนี้ ณัฐพงษ์ ระบุว่า "ไม่ร่วมรัฐบาลแน่นอนตลอดสมัยนี้"
ด้วยสภาพบริบทการเมือง ณ ปัจจุบัน ทำให้ "ณัฐพงษ์" ยอมรับบทบาทฝ่ายค้านของพรรคประชาชนจะต้องสื่อสารกับประชาน การรณรงค์ทางความคิด เพื่อหาฉันทามติของสังคมต้องการแก้ไขปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศ ทั้งเรื่องของรัฐธรรมนูญ เรื่องปฏิรูปกองทัพ การกระจายอำนาจ
"ผมเชื่อว่าเราทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่ฝ่ายค้านเชิงรุก ผลักดันการแก้ไขกฎหมายทุกอย่างที่เราเชื่อว่า เป็นประโยชน์ต่อประชาชนผ่านกลไกของฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า"
ไม่หวั่นถูกสอยข้อหาแก้ ม.112
ขณะที่ข้อกล่าวหาฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในข่าย 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล จากการร่วมกันแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในจำนวนนี้ “ณัฐพงษ์” เป็น 1 ใน 25 สส.ที่กำลังถูกไต่สวนในชั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องนี้ณัฐพงษ์ยืนยันว่า การใช้อำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติผ่านการเสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นอำนาจเต็มของ สส. เราไม่ควรที่ถูกร้องฝ่าฝืน หรือไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง
“ผมเชื่อว่าไม่มีใครมีข้อกังวลอะไร ตั้งแต่วันแรกที่เราตัดสินใจมาทำงานการเมืองร่วมกัน ในฐานะคนธรรมดา เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง เรารู้กันอยู่แล้วว่า ตั้งแต่วันแรกว่า เรื่องนี้ไม่ง่าย เราต้องทำการเมืองระยะยาว ระหว่างทางเดินที่ผ่านไป ก็น่าจะเจอคมหอกคมดาบมากมาย เต็มไปหมด”
“เราก็รู้อยู่แล้วว่า จะต้องโดนคดีอะไรแบบนี้ เพียงแต่ต้องพูดให้ชัดว่าเรื่องนี้ผิดปกติ ไม่ควรให้เกิดขึ้น เราไม่อาจยอมรับการดำเนินคดีแบบนี้ได้ แต่ไม่ได้หวั่นใจ เพราะจุดประสงค์แรกเริ่มเดิมทีของพวกเรา ตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง เพื่อต่อสู้กับระบบที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ เหล่านี้อยู่แล้ว”
ส่งไม้ให้คีย์แมนรุ่นถัดนำ ปชน.
ส่วนกรณีหากถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ณัฐพงษ์ยังเชื่อว่า เพื่อนๆ สส.ที่หลงเหลืออยู่ จะขึ้นมาทำหน้าที่แทนเขา และแกนนำของพรรคประชาชนได้เหมือนเดิม ส่วนตนเองจะเปลี่ยนบทบาทไปช่วยเหลือพรรคในวาระการสร้างการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงผลักดันนโยบาย และกฎหมายในสภาฯ
“ผมเชื่อว่า ถ้าจะกระทบก็กระทบฝั่งรัฐบาลอย่างเดียวมากกว่า ฝ่ายค้านก็คงไม่ได้กระทบอะไร จำนวนเสียงที่มีเพิ่มขึ้น ลดลง จะมีข้อต่อรองอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในส่วนของ สส.พรรคร่วมรัฐบาล ที่จะส่งผลถึงเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่ เป็นส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลจะเจรจากันเอง”
ไม่ถูกตัดสิทธิขอชิงนายกฯ
ถามถึงกระแสความนิยมของ “ณัฐพงษ์” ยังไม่เทียบเท่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ณัฐพงษ์ยอมรับว่า ด้วยระยะเวลาที่เพิ่งเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคประชาชนไม่นาน ก็มีส่วน แต่เชื่อว่าวิธีการได้มาซึ่งความยอมรับ การทำงานเต็มที่ การพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า เรามีโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
“ชัยชนะสนามการเมืองท้องถิ่น ในระดับ อบจ.ที่ลำพูน หรือเทศบาลที่จะมาถึง ผมเชื่อว่าหลายๆ สนามต่อจากนี้ ที่พรรคประชาชนจะสามารถชนะเลือกตั้งได้ เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่า เราสามารถเปลี่ยนความหวังเป็นความจริงได้”
“ณัฐพงษ์” ย้ำว่า “หลายนโยบายที่เราได้หาเสียงไว้ ถ้าเราได้มีอำนาจเข้าไปบริหารงบประมาณเองจริงๆ เราสามารถสร้างผลการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง”
"โจทย์สำคัญตอนนี้ผมว่าเป็นเรื่องทำยังไงให้เราสามารถเพิ่มคะแนนเสียงจากคนที่เคยลังเล ไม่เคยโหวตให้พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล แล้วหันมาโหวตให้กับพรรคประชาชนมากขึ้น ผมว่าโจทย์นี้เป็นโจทย์ที่ทำยังไงให้คนกลุ่มนั้นยอมรับในตัวเรา พร้อมที่จะมาเป็นพรรคบริหารประเทศได้"
ถามว่า ถ้ายังไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นในบรรดา 25 สส.พรรคประชาชน ณัฐพงษ์ก็พร้อมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้าใช่หรือไม่ ผู้นำพรรคประชาชน บอกว่า "ถึงเวลานั้น ผมคิดว่า ผมพร้อม และเพื่อนผมก็พร้อมเช่นเดียวกัน แต่จากวันนี้จนถึงวันนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือการตั้งใจทำงานของพวกเราเองอย่างเต็มที่มากกว่า"