แนวรบต้านยื้อ ส.ส.ร.แก้รธน. ‘ผู้นำก๊กส้ม’ประกาศชิง20ล้านเสียง

"เท้ง" ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ย้ำจุดยืนไม่เห็นด้วยแนวทางส่งศาลรัฐธรรมนูญชี้อำนาจของรัฐสภาก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้มี ส.ส.ร.
KEY
POINTS
- "ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" เชื่อถ้าพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคก้าวไกลไม่ตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว จะสามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนในวาระใหญ่ได้
- ปชน.
ศึกแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเดินหน้าให้มีการจัดทำฉบับใหม่ ผ่านกลไก สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ยังไม่มีทีท่าจะยุติได้โดยง่าย
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เปิดประชุมอีกครั้งเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2568 พิจารณาเรื่องด่วน 2 ญัตติด่วนของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.และ ญัตติด่วนของ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2)
เป็นการใช้แท็คติก หลังจากรัฐสภาต้องล่มซ้ำซาก 2 วันติดต่อกันเมื่อวันที่ 13-14 ก.พ. 2568 โดยปีกพรรคเพื่อไทยต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านกลไก ส.ส.ร.จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง เพื่อป้องกันการถูกตีความในภายหลังจนเสี่ยงทำให้ปิดโอกาสการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
ฝ่ายค้านอย่าง “พรรคประชาชน” ยืนกรานต้องประชามติ เพียง 2 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องรอประชามติครั้งแรกก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ปีกพรรคภูมิใจไทยและ สว.สายสีน้ำเงินไม่ต่ำกว่า 130 เสียง ยืนยันยังไม่จำเป็นต้องจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
ด้าน “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ระบุผ่าน “กรุงเทพธุรกิจ” ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการเดินอ้อมก่อนไม่เร่งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจทำให้ไม่มี ส.ส.ร.ทันก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570
“การเดินอ้อมแบบที่พรรคเพื่อไทยบอกจะไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำเป็นที่เราต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีฉบับใหม่ ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยซ้ำ สิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา วิธีการจัดตั้งรัฐบาลที่สอดคล้องตามเจตจำนงตั้งแต่ต้น"
"พูดง่ายๆ ถ้าย้อนไปวันจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้ว ถ้าเหตุการณ์วันนั้นไม่เกิดขึ้น แล้วเราพยายามจะร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล เพื่อสะท้อนเจตจำนงประชาชนให้ได้ ขับเคลื่อนนโยบายที่เราสัญญากับประชาชนให้ได้เป็นตัวตั้ง เราจะสามารถผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระใหญ่ๆ ได้จริง”
"ณัฐพงษ์" ชี้ว่า พอเป็นการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้ ที่ต้องยอมแลกมาด้วยหลายๆ อย่าง เช่น โควตารัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ต้องแลกมาเรื่องผลประโยชน์ตามจำนวนเก้าอี้ แต่ละพรรคไปต่อรองกัน แล้วไม่ได้เอาเรื่องนโยบาย เพื่อผลักดันให้กับประชาชนเป็นตัวตั้ง มันกลายเป็นว่า พอทำไป คิดไป ทำไปต่อรองไป ก็จะเกิดประเด็นปัญหาเกิดขึ้นแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นที่รัฐสภาล่มไป"
หัวหน้าพรรคประชาชน ประเมินสถานการณ์การเดินเกมของพรรคเพื่อไทยด้วยการชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 ไว้พลางก่อน เพื่อรอคำตอบจากศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาก่อนเดินหน้าโหวตวาระที่ 1ว่า
“อยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ถ้าเราจะดูประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ตอนแรกญัตติที่จะส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องถูกโหวตผ่านส่งไปศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน แต่ผลที่เกิดขึ้นหน้างานก็คือ มีเสียง สว.บางส่วนโหวตไม่เห็นด้วยกับการยื่นญัตติด่วนในครั้งนั้น ทำให้สุดท้ายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ถูกส่งไปศาลรัฐธรรมนูญในวันนั้น”
ย้ำจุดยืนต้านยื้อ ส.ส.ร.
“ณัฐพงษ์” ตั้งข้อสังเกตว่า การยื่นญัตติขอส่งไปศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้มีการตีความก่อนจะสามารถเดินหน้าโหวตวาระที่ 1ต่อได้หรือไม่ ตนเองตอบแทนรัฐบาลไม่ได้ เพราะต้องยอมรับข้อเท็จจริงจะเดินหน้าต่อได้หรือไม่ได้ อยู่ที่เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง จุดยืนของพรรคประชาชนย้ำมาตลอด การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน
“เรายืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มี ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ทั้งฉบับ สามารถทำได้เลยทันที โดยอ้างอิงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เพียงแต่ว่า เหตุการณ์ที่ทำให้เราเดินหน้าผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปต่อไม่ได้ เป็นเพราะว่าเสียงของฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลอาจเห็นไม่ตรงกันแล้วทำให้รัฐสภาล่ม สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะท้อนถึงการควบคุมเสียงในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเองด้วยกันเองไม่ได้”
สับ พท.คุมเสียงพรรคร่วมไม่ได้
เหตุการณ์ตีรวนในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลรวมทั้ง สว.จนทำให้องค์ประชุมรัฐสภาล่ม 2 วันติดต่อกัน ทำให้ “เท้ง ณัฐพงษ์” ต้องนำ สส.ออกมาแถลงการณ์เรียกร้องให้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ยุบสภาฯ เพื่อแก้ไขปัญหาเสถียรภาพในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล
ถามว่า กังวลกับเสียงของ สว.ส่วนใหญ่หรือไม่ เพราะ สว.สีน้ำเงินมีพลังมากกว่า 1 ใน 3 ของ สว.คือ 67 เสียงซึ่งมีผลถึงการโหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนได้ “ณัฐพงษ์” ตอบว่า “มันปฏิเสธไม่ได้ ที่บริบททางการเมืองปัจจุบันที่เรามีวุฒิสภา ที่หลายๆ คนก็คาดเดาว่าสังกัดพรรคการเมืองสีน้ำเงิน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เดินหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้”
“จำเป็นที่เราต้องใช้ สว. 1 ใน 3 ซึ่งเรื่องนี้กลับมาจุดเดิม สุดท้ายแล้วฝั่งของพรรคเพื่อไทยเอง จะสามารถควบคุมเสียงของพรรคภูมิใจไทย และเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้มากน้อยขนาดไหนให้เดินหน้าร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภามากกว่า” ผู้นำฝ่ายค้านฯ ย้ำ
ปัดแพ้ท้องถิ่นอิทธิพลบ้านใหญ่
ถามถึงสถานการณ์ภายหลังพรรคประชาชน ผ่านศึกเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ประสบความสำเร็จได้ชัยชนะเพียง 1 จังหวัด นายก อบจ.ลำพูน เท่านั้น
“ณัฐพงษ์” ระบุว่า ทุกการเดินทางของเรา ทำให้เราได้เสียงสนับสนุนจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนมากขึ้นตามลำดับ เพียงแต่อาจจะยังไม่ถึงเส้นๆ หนึ่ง ที่จะทำให้เราชนะการเลือกตั้งได้อีกในหลายๆ สนาม ซึ่งม่ใช่ข้ออ้างของเราที่เราจะไปบอกว่าเราแพ้การเลือกตั้ง เพราะว่าอะไร แต่เราเชื่อว่าการรณรงค์ทางความคิดอย่างแข็งขันอย่างนี้จะนำมาสู่การชนะเลือกตั้งอีกหลายสนามมากขึ้นในอนาคตได้
“จ.ลำพูน หากดูย้อนหลังไป หลายๆ ปีเป็นสนามที่มีสัดส่วนคนออกมาใช้สิทธิค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น สะท้อนอย่างหนึ่งว่า ประชาชน จ.ลำพูน ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงตามระบอบประชาธิปไตยที่ค่อนข้างแข็งขัน สิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่พวกเราได้รับเสียงสนับสนุนจากคนลำพูน พร้อมที่จะเข้าไปทำงาน ไม่ทำให้ คน จ.ลำพูน ต้องผิดหวัง”
ถามย้ำว่าทุกจังหวัดที่พรรคประชาชนไม่ประสบความสำเร็จเพราะแพ้คะแนนจัดตั้งและกลไกบ้านใหญ่หรือไม่ “ณัฐพงษ์” ระบุว่า “ผมว่าเราคงไม่ได้แพ้เพราะปัจจัยใด ปัจจัยหนึ่ง ทุกปัจจัยมีผลตัวระบบเลือกตั้งเองก็มีส่วน แต่อย่างที่บอก เราเชื่อในเรื่องการทำงานของพวกเราเองมากกว่า"
"ตราบใดที่เรารณรงค์อย่างแข็งขันมากเพียงพอ ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้งอย่างดี เพียงพอ ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิใช้เสียงได้อย่างสะดวกที่สุด เต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด ถ้าเราผลักดันไปทุกๆ ด้านไปพร้อมกัน ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง การออกมาใช้สิทธิของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ก็จะสะท้อนความต้องการประชาชนมากที่สุดตามลำดับขึ้นไป”
“ในเรื่องของการที่เราชนะ หรือไม่ชนะเลือกตั้งในสนามเลือกตั้งใดในการเลือกตั้งที่ผ่านมา สำหรับผม ไม่ได้บอกว่าเป็นเพราะปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่มันเป็นทุกๆ ปัจจัยร่วมกัน”
เป้าปี70 กวาด 20ล้านเสียงสกัดข้ามขั้ว
ถามถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2570 กังวลว่าพรรคประชาชนจะถูกลอยแพเป็นฝ่ายค้านอีกหรือไม่ตามนิยาม สามก๊ก “ณัฐพงษ์” ระบุว่า “การต่อสู้ทางการเมืองปัจจุบัน เป็นการต่อสู้ระหว่างการเมืองของชนชั้นนำกับการเมืองของคนส่วนใหญ่ ถ้าจะบอกว่าตอนนี้เป็น สามก๊กหรือเปล่า ผมคิดว่าไม่ใช่ คิดว่าเป็นการต่อสู้กันของสองขั้วนี้ คือตัวแทนพรรคการเมืองที่ เป็นการเมืองแบบอดีต การเมืองของชนชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นของกลุ่มทุน ระบบการเมืองแบบอุปถัมภ์แบบเดิมๆ หรือคนที่มีการยึดโยงคณะปฏิวัติ รัฐประหารเข้ามาล้วนเป็นการเมืองของชนชั้นนำทั้งสิ้น”
“โจทย์ของพรรคอนาคตใหม่ ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน เราไม่เคยเปลี่ยน เราต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เขามาแก้ไขปัญหาทางการเมือง ทำยังไงให้การเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของประเทศนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง”
“ณัฐพงษ์” ประเมินว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่พรรคประชาชนจะต้องได้คะแนนเสียงจากประชาชนทั่วประเทศ 20 ล้านเสียง จากเดิมที่พรรคก้าวไกลเคยได้เมื่อปี 2566 จำนวน 14 ล้านเสียง เพื่อเป็นการการันตีจะถูกหักหลังข้ามขั้วอีก
“สิ่งที่เราจะได้ฉันทามติ และมีความชอบธรรมที่สุดก็คือ ได้รับเสียงสนับสนุนเกินครึ่งหนึ่ง ราวๆ 20 ล้านเสียง ถ้าเทียบกับคนที่ออกมาใช้สิทธิใช้เสียง ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาจะอยู่ที่ประมาณ 40 ล้าน ดังนั้นถ้าเราบอกว่า 20 ล้านเสียงก็คือตั้งเป้าได้เกินครึ่งหนึ่ง แน่นอนที่สุดก็คือ ก็อยู่ที่ระบบการเลือกตั้งด้วย ว่าระบบการเลือกตั้งจะสะท้อนเสียงประชาชนออกมาเป็นจำนวนเก้าอี้ในสภาฯ เท่าไรด้วย”
“การเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยนโยบายหาเสียงของพรรคประชาชน ที่เราอยากเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการปฏิรูปกองทัพ เรื่องทลายทุนผูกขาด รวมถึงหลายๆ นโยบายที่เราได้สื่อสาร ดังนั้น หากพรรคประชาชนได้รับเสียงสนับสนุนเกินครึ่งหนึ่ง สัก 20 ล้านเสียงขึ้นไป ผมเชื่อว่าหลายๆ คนปฏิเสธยากว่า นโยบายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ทำไมรัฐบาลชุดหน้า ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับเสียงในสภาฯ ขึ้นอยู่กับระบบเลือกตั้ง ทำไมเขาจะไม่ยอมผลักดันนโยบายที่คนส่วนใหญ่เลือกเข้ามาถึงขนาดนี้”
ถามว่า พรรคประชาชนจะได้เสียงถึง 200-250 สส.หรือไม่ “ณัฐพงษ์” บอกว่า “ถ้าถามตามความเชื่อมั่นของผม ผมเชื่อมั่นว่าถึงได้ แต่ต้องลองดู จำนวนเก้าอี้ สส.ในสภาฯ ก็ขึ้นอยู่กับระบบการเลือกตั้งด้วย กับบริบทต่างๆ ในพื้นที่ด้วย”
ต้นแบบยึด ทิม-ธนาธร-ชัยธวัช-ไอติม
ส่วนต้นแบบทางการเมืองในพรรคประชาชนนั้น "เท้ง ณัฐพงษ์" บอกว่า มีเพื่อนหลายๆ คนและอดีตแกนนำพรรคอนาคต พรรคก้าวไกลเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะ "ไอติม" พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่เปรียบเหมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ ฉลาดรอบรู้ทำงานหนัก เช่นเดียวกับ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ก็ทำงานหนักเช่นกัน รวมทั้งมีหลายๆ คนที่เป็นตัวแทนเชิงประเด็นต่างๆ
"ทุกคนเข้าสู่เส้นทางการเป็น สส.โดยไม่ต้องมี ระบบบ้านใหญ่ ไม่ต้องมีครอบครัวนักการเมือง ไม่ต้องมีเงินถุงเงินถังมาจ่ายเงินให้กับพรรค ก็สามารถเข้ามาเป็น สส.ได้ ดังนั้น คนกลุ่มสำหรับผมที่เป็นแบบอย่างให้กับผม ผมเชื่อว่าก็คือ สส.เพื่อนร่วมพรรคทุกคน สตาฟพรรคที่เป็นทีมงานหลังบ้านด้วยเช่นเดียวกันก็ทำงานหนัก เป็นกำลังหลักสำคัญ จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเป็นกระดูกสันหลังให้กับพรรค ที่ไม่เคยออกหน้าสื่อ ทุกคนก็ทำงานหนักกันทุกคน"
"ณัฐพงษ์" ยังชื่นชม "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นแบบอย่างให้กับตนเอง เพราะ "พิธา"เป็นคนที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่สุดแล้ว
"พี่ทิมเป็นคนที่เวลาสื่อสารอะไรออกไป มีความแหลมคม พูดประโยคยากๆ พูดสิ่งที่ยาก ๆ ด้วยประโยคสั้นๆ ที่กระชับ อย่างเช่น คำว่า มีลุงไม่มีเรา ในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็มาจากพี่ทิมใช่ไหม อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล หรือพี่ต๋อม ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็มีความหลักแหลมวิเคราะห์ในทางการเมือง เป็นผู้นำทางความคิดในทางการเมืองให้กับพวกเราได้"
"คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นแบบอย่างในแง่ที่เป็นคนมีภาวะความเป็นผู้นำสูง การแก้ไขปัญหาอะไรใหญ่ๆ สักอย่างหนึ่ง บางทีต้องการคนเป็นผู้นำในการเดินพาองคาพยพของพวกเราไปข้างหน้า"
ส่วนการขอคำปรึกษาในทางการเมืองนั้น "ณัฐพงษ์" จะขอคำปรึกษากับ "ปิยบุตร" และ "ชัยธวัช" ส่วนด้านการต่างประเทศปรึกษากับ "พิธา" ส่วนการลงพื้นที่จะปรึกษา "ธนาธร" และ "เดชรัต สุขกำเนิด" เป็นที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านฯ
เท้งยึดหลักการเมือง 3 ข้อ
ขณะเดียวกัน "ณัฐพงษ์" ยังพูดถึงหลักการทำงานการเมือง 3 ข้อ 1.ต้องเป็นคนมองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เราคงไม่ได้อยากได้นักการเมืองที่ต้องการเข้าสู่อำนาจ แล้วใช้อำนาจเพื่อทำให้ตัวเองร่ำรวยขึ้น เพื่อทำผลประโยชน์พวกพ้อง ถ้าเรื่องนี้ความตั้งใจในการเข้ามาทำงานการเมือง ถ้าไม่ได้ตั้งใจเข้ามาทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก สำหรับผมคิดว่าขาดการเป็นคุณสมบัตินักกาารเมืองที่ดี
2.ความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาต่อประชาชน อย่าตระบัดสัตย์หรืออย่าทรยศประชาชน เรื่องนี้เป็นปัญหาทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อระบบรัฐสภา ต่อระบบการเลือกตั้งผ่านตัวแทนของประชาชน
"คุณไม่ได้ทำให้ตัวคุณเสีย แต่คุณกำลังทำลายกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศด้วย คือ อย่าหาเสียงไว้แบบหนึ่ง แล้วมาโกหกประชาชนเองทีหลัง เรื่องนี้จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด ถอยหลังนะครับ ไม่ได้เดินไปข้างหน้า"
3.ต้องเป็นตัวแทนกล้าต่อสู้เรียกร้องในสิ่งอยุติธรรม หรือ เป็นนักการเมืองที่มีกระดูกสันหลัง วันหนึ่งถ้าประชาชนถูกกดขี่ ถ้าได้รับความไม่ยุติธรรม สิ่งที่พวกเขาต้องการย่อมคาดหวังตัวแทนของเขา ในการออกมาต่อสู้เรียกร้อง เป็นปากเป็นเสียงให้กับพวกเขา
"ถ้าวันหนึ่งคุณเข้าไปมีอำนาจแล้ว ประชาชนถูกทำหลายๆ อย่างไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วคุณนิ่งเงียบ ก็เป็นความไม่ยุติธรรมแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน" ณัฐพงษ์ ระบุ