เงื่อนงำ บ.ญาติ ‘สันติ-เมีย’ ขายตึก 2 พันล. ให้ ‘แคส’ ก่อน สปส.

เงื่อนงำ บ.ญาติ ‘สันติ-เมีย’ ขายตึก 2 พันล. ให้ ‘แคส’ ก่อน สปส.

ทั้งหมดคือเงื่อนปมในการซื้อขายอาคารดังกล่าวระหว่าง “วอเตอร์เกทฯ” ถึง “แคส แคปปิตอล” ก่อนจะมาถึงมือ “กองทุนทรัสต์” ของ สปส.ในปี 2565

KEY

POINTS

  • เจาะไทม์ไลน์ปี 62 “บจ.วอเตอ

ปมร้อนกองทุนประกันสังคม ของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) นำเงินราว 1 หมื่นล้านบาท ไปตั้ง “กองทุนทรัสต์”โดย 3 พันล้านบาทไปลงทุนในต่างประเทศ อีกเฉียด 7 พันล้านบาท ไปซื้อ “บริษัท” ที่มีหนี้สินราว 2 พันล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 บริเวณพระราม 9 ถ.อโศก-ดินแดง กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของกระทรวงมหาดไทย ที่มีปลัด มท.เป็นประธาน ขีดเส้น 90 วัน ก่อนรายงานต่อ “มท.1” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย

เงื่อนปมเรื่องนี้ กรุงเทพธุรกิจ นำเสนอไปแล้วว่า “กองทุนทรัสต์” ที่อนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดตัดสินใจใช้งบเฉียด 7 พันล้านบาทไปซื้อ “บริษัท” ซึ่งมีหนี้ราว 2 พันล้านบาท และได้อาคาร Skyy9 มาด้วยคือ บริษัท ไพร์ม ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด โดยมีบริษัท ไพร์ม เซเว่น จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดใน “ไพร์ม เซเว่น” คือ กองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพร์ม แอสเซท โดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะทรัสตี ซึ่งเป็นกองทุนของประกันสังคม

สำหรับไทม์ไลน์ในการซื้อขายอาคารดังกล่าว ถูกสร้างช่วงปี 2540 กระทั่งเจอ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ทำให้การก่อสร้างอาคารไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้าง และปล่อยให้เป็นหนี้เสียหรือ NPL ต่อมามีการซื้อขายเปลี่ยนมือกัน จนไปอยู่ในมือของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด มหาชน (BAM)

หลังจากนั้นเมื่อปี 2561 BAM ขายต่อให้กับบริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ด้วยวงเงินราว 1 พันล้านบาท และมีการนำมารีโนเวท เป็นตึก I.C.E. Tower ถัดมาในปี 2562 “วอเตอร์เกทฯ” ขายต่อให้กับบริษัท แคส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด ซื้อมารีโนเวท ภายใต้ชื่อใหม่ Cas Centre โดยทำการรื้อหรือทุบบางส่วนออก และทำใหม่ โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จมีมูลค่าของตึกราว 2.2 พันล้านบาท และค่าที่ดินราว 1.5 พันล้านบาท รวมมูลค่าราว 3.7 พันล้านบาท ณ ช่วงเวลานั้น

คล้อยหลังแค่ปีเดียวคือ ในปี 2562 “วอเตอร์เกทฯ” ขายต่อให้กับบริษัทลูกของ “แคส แคปปิตอลฯ” คือ บริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด ด้วยวงเงินราว 2 พันล้านบาทเศษ และ “แคส แคปปิตอล” ได้ขายต่อให้ “กองทุนทรัสต์” สปส.เข้าไปลงทุนเฉียด 7 พันล้านบาท ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นอาคาร Skyy9 ในปัจจุบัน

ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ระหว่างปี 2561-2565 หรือช่วง 4 ปีนั้น อาคารดังกล่าวถูกเปลี่ยนมือมา 3 ครั้ง ปี 2561 “วอเตอร์เกทฯ” ปี 2562 ขายต่อให้ “แคส แคปปิตอลฯ” ปี 2565 ขายต่อให้ “กองทุนทรัสต์” สปส.

กรุงเทพธุรกิจ นำเสนอข้อมูลไปแล้วว่า “วอเตอร์เกทฯ” คือบริษัทในเครือข่ายของตระกูล “พร้อมทวีสิทธิ์-พร้อมพัฒน์” โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้ นับตั้งแต่ก่อตั้งปี 2534-2544 บริษัท บึงกุ่ม โฮมออฟฟิต จำกัด (ชื่อเดิมของวอเตอร์เกทฯ) มี“สันติ พร้อมทวีสิทธิ์” (ต่อมาเปลี่ยนสกุลเป็น พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย นักการเมืองชื่อดัง) ร่วมเป็นผู้ก่อตั้ง และผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว

ในช่วงการขายอาคารดังกล่าวให้แก่ “แคส แคปปิตอล” วงเงินราว 2 พันล้านบาทเมื่อปี 2562 นั้น มี น.ส.เรณู ป่างศรี แจ้งมีอาชีพ “รับจ้าง” แจ้งที่อยู่ 463/8 ถ.ราชปรารถ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม. (ที่ตั้งเดียวกับ “วอเตอร์เกทฯ”) ถือหุ้นใหญ่สุด 2.5 ล้านหุ้น มีบริษัท บางซื่อ จำกัด ถือ 1.55 ล้านหุ้น บริษัท บางรัก จำกัด ถือ 8.5 แสนหุ้น โดยบริษัท บางซื่อ และบางรัก คือธุรกิจของตระกูล “พร้อมทวีสิทธิ์”

ต่อมาเมื่อขายอาคารดังกล่าวไปแล้ว ได้แจ้งบัญชีผู้ถือหุ้นในปี 2563 ปรากฏชื่อ น.ส.เรณู ป่างศรี ถือหุ้นใหญ่สุด 4,890,000 หุ้น นายสสิน สธนวงศธร (เครือญาติ สุภาพัฒน์ สธนวงศธร น้องสาว “สันติ พร้อมพัฒน์”) ถือ 10,000 หุ้น และ น.ส.อัจฉรา รัตนธนาสาร 5.1 ล้านหุ้น โดยไม่มีบริษัท บางซื่อ และบางรัก ถือหุ้นอีกแล้ว

น.ส.เรณู ป่างศรี ก่อนหน้านี้เคยถือหุ้นในธุรกิจของคนตระกูล “พร้อมทวีสิทธิ์-พร้อมพัฒน์” หลายแห่ง นอกจากนี้เมื่อปี 2566 น.ส.เรณู เคยเป็นผู้บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 10 ล้านบาทด้วย

ข้อมูลเมื่อปี 2567 บริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด มีอัจฉรา รัตนธนาสาร (เคยถือหุ้น และเป็นกรรมการบริษัทในเครือ “พร้อมทวีสิทธิ์-พร้อมพัฒน์ หลายแห่ง) ถือหุ้นใหญ่สุด 99% และบริษัท โอเวอร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด ร่วมถือหุ้น 1% โดย “โอเวอร์ซีฯ” มี กัญญารัตน์ ทองแถม (เครือญาตินางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ (สกุลเดิม ทองแถม) ภริยานายสันติ) เป็นกรรมการ และถือหุ้นใหญ่สุด 99%

กรุงเทพธุรกิจ ตรวจสอบพบว่า เมื่อ พ.ค. 2562 ที่มีการขายอาคารดังกล่าวให้แก่ “แคส แคปปิตอล” พบว่า “วอเตอร์เกทฯ” มีมติเพิ่มทุน เปลี่ยนแปลงข้อบังคับบริษัท และกรรมการบริษัท ซึ่งขณะนั้นมี “พิชัย พร้อมทวีสิทธิ์” เป็นกรรมการคนเดียว ได้มีมติเพิ่มทุนเพิ่มกรรมการเข้ามาอีกราย คือ “จอห์น ไมเคิล ชีแฮน” ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทในเครือ “แคส แคปปิตอล” เข้ามาร่วมเป็นกรรมการ 

นอกจากนี้ ยังแก้ข้อบังคับให้กรรมการบริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด ซึ่งเป็นผู้ซื้ออาคารและที่ดินดังกล่าว เข้ามาร่วมตัดสินใจในบอร์ดด้วย โดย “จอห์น ไมเคิล ชีแฮน” ร่วมลงชื่อผูกพันบริษัทได้ในเวลาใด ๆ ก่อนและในวันที่ 15 ก.ย. 2562 (วันซื้อขาย) และภายหลังวันที่ 15 ก.ย. 2562 ให้อำนาจกลับไปอยู่ในมือของ “พิชัย พร้อมทวีสิทธิ์” เช่นเดิม

มติของ “วอเตอร์เกทฯ” ครั้งนี้มีขึ้นเพื่อสำหรับการไถ่ถอน หรือปลดจำนอง อันเกี่ยวข้องกับห้องชุดจำนวน 171 ห้องชุด ตามหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดฯ เลขที่ 554/1-554/171 ที่ดินจำนวน 2 แปลง โฉนดที่ดินเลขที่ 100305 และ 100306 เลขที่ดิน 117 และ 118 ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยขวาง (สามเสนนอกฝั่งเหนือ) อ.ห้วยขวาง (บางซื่อ) กทม. (ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด สำหรับการขาย หรือจำหน่ายอันเกี่ยวกับห้องชุดและที่ดินข้างต้น ให้กับบริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด และสำหรับการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการมอบอำนาจ หรือการมอบฉันทะใด ๆ อันเกี่ยวกับการไถ่ถอน ปลด ปลอดจำนอง การขาย หรือจำหน่ายห้องชุด และที่ดินดังกล่าวให้กับบริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด

โดยในงบการเงินปี 2562 ของ “วอเตอร์เกทฯ” ระบุด้วยว่า มีรายได้จากการขาย หรือการให้บริการ เป็นเงิน 2,241 ล้านบาท แต่มีต้นทุนการขายหรือต้นทุนการให้บริการ 2,140,162,921 บาท

ต่อมาเมื่อ 18 ก.ย. 2562 หลังการซื้อขายเสร็จสิ้น “จอห์น ไมเคิล ชีแฮน” ได้ลาออกจากกรรมการ และแก้ไขข้อบังคับกลับมาเป็นเหมือนเดิม โดยไม่มี บริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด เข้าไปเกี่ยวข้องอีก ถัดมาราว 1 ปีในปี 2563 “พิชัย พร้อมทวีสิทธิ์” ได้ลาออกจากกรรมการ และ “สสิน สธนวงศธร” กลับเข้ามาเป็นกรรมการอีกครั้ง

สอดคล้องกับงบการเงินประจำปี 2565 ของบริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด ที่ระบุว่า พ.ค. 2562 บริษัททำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและห้องชุด 171 ห้องจากผู้ขายซึ่งเป็นกิจการไม่เกี่ยวข้องกันแห่งหนึ่ง มูลค่ารวม 2,175 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า โดยบริษัทจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวเมื่อ 23 ส.ค. 2562 และชำระเงินครั้งแรกเป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือแบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดแรกชำระ 100 ล้านบาทเมื่อ ครบ 24 เดือน และงวดสองชำระ 75 ล้านบาทเมื่อครบ 48 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน หรือเมื่อขายได้ โดยไม่มีการคิดดอกเบี้ย โดยบริษัทบันทึกเงินจำนวนดังกล่าวไว้ในบัญชีเจ้าหนี้ ค่าซื้อสินทรัพย์ในงบแสดงฐานะการเงิน

ขณะเดียวกันภายใต้ Subordinated Payment Agreement บริษัทมีภาระผูกพันที่จะต้องชำระเงินเพิ่ม 125 ล้านบาท เมื่อสัดส่วนพื้นที่สำนักงานให้เช่าและอัตราค่าเช่าเป็นไปตามที่ระบุในข้อตกลงดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2565 บริษัทได้ชำระหนี้ค่าซื้อสินทรัพย์จำนวน 75 ล้านก่อนกำหนดแล้ว และบริษัทผู้ขาย (วอเตอร์เกทฯ) ดังกล่าวได้ตกลงยกเลิกภารกิจบริษัทต้องจ่ายภายใต้สัญญา Subordinated Payment Agreement แล้ว ทำให้บริษัทไม่มีภาระผูกพันภายใต้สัญญาดังกล่าวอีกต่อไป

ทั้งหมดคือเงื่อนปมในการซื้อขายอาคารดังกล่าวระหว่าง “วอเตอร์เกทฯ” ถึง “แคส แคปปิตอล” ก่อนจะมาถึงมือ “กองทุนทรัสต์” ของ สปส.ในปี 2565 ที่ต้องควักเงินเฉียด 7 พันล้านบาท ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 จนกลายเป็นเงื่อนปมร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกตรวจสอบในตอนนี้