ชาวคลิตี้เฮ!ชนะคดีกรมควบคุมลพิษ จ่าย3.8ล.
ชาวบ้านคลิตี้ล่างเฮ! ศาลปกครองสูงสุดตัดสินคพ.แพ้คดีสารตะกั่วปนเปื้อนลำห้วยที่ยืดยื้อมาร่วม9ปี ให้จ่ายค่าชดเชยรวม3.8ล้านบาท และฟื้นฟูสวล.1ปี
จากกรณีปัญหาสารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ จ.กาญจนบุรีที่ยืดเยื้อมานานถึง 9 ปีเต็ม หลังจากนายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ พร้อมด้วยชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่างจำนวน 22 ราย ได้ยื่นขอความช่วยเหลือผ่านทางสภาทนายความและโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ในการฟ้องคดีศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2547 กรณีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ในฐานะหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจในการควบคุมฟื้นฟูจากมลพิษตามกฎหมายพ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมพ.ศ.2535 แต่ละเลยและล่าช้าในการดำเนินงานจนเกิดความเสียหายต่อชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมขึ้น
ล่าสุดวันที่ 9 ม.ค.ศาลปกครองสูงสุดนัดฟังพิพากษาประวัติศาสตร์กรณี "คลิตี้ล่าง"ขึ้น โดยนายเสน่ห์ บุญทมานพ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง นั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าว โดยแก้ไขพิคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีคือกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) จัดทำแผนงาน วิธีการและดำเนินการฟื้นฟูตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำ ดิน พืชผักให้ครอบคลุมทุกทุกฤดูกาลละ 1 ครั้งเป็นเวลา 1 ปี จนกว่าจะพบว่าค่าาารตะกั่วในดิน น้ำ พืชผักอยู่ในค่ามาตรฐาน และให้รายงานผลการติดตามตรวจสอบแบบเปิดเผย ด้วยการแจ้งให้กับชาวบ้านทั้ง 22 รายทราบด้วยการติดประกาศในที่ทำการหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ที่องค์การบริหารส่วนต. ชะแล และที่ว่าการอ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พร้อมกันนี้ขอให้คพ.จ่ายเงินกับชาวบ้านเป็นค่าชดเชยค่าอาหารจากการที่ไม่สามารถใช้ทรัพยากรต่างๆในพื้นที่มาบริโภคได้ รวมระยะเวลาตั้งแต่เดือนส.ค.2547-26 มิ.ย55 รวมทั้งสิ้น 94 เดือนเป็นเงินรายละ 177,199 บาท ภายในระยะเวลา90 วัน
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ซึ่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านหลังพบตะกั่วรั่วไหลจากโรงแต่งแร่บริษัทตะกั่วคอนเซนเตรทส์ ( ประเทศไทย) เมื่อปี 2541 กล่าวว่า พอใจผลการตัดสินของศาลในกรณีการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดให้กับชาวบ้านที่ต้องเสียสิทธิจาการหาอาหารตามธรรมชาติซึ่งคิดเฉลี่ยเงินค่าอาหารเพียงมื้อละ 8 บาทหรือ700 บาทต่อเดือนเท่านั้น แต่ยังไม่พอใจเรื่องที่ศาลไม่กำหนดแนวทางให้คพ. ฟื้นฟูสารตะกั่วในพื้นที่นี้ ซึ่งเข้าใจว่าศาลต้องการให้คพ.เป็นหน่วยงานที่เสนอแผนแนวทงการฟื้นฟูเอง
ด้านนายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ แกนนำชาวบ้านชุมชนคลิตี้ล่าง กล่าวภายหลังจากฟังคำตัดสินคดีของศาลปกครองสูงสุดว่า พอใจในคำตัดสินของศาล ที่มีคำสั่งให้ทางกรมควบคุมมลพิษชดเชยค่าเสียหายพร้อมกับให้เข้าไปติดตามตรวจสอบและดูแลสารตะกั่วที่ปนเปื้อนอยู่ในลำห้วยคลิตี้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีมาตรการเข้าไปฟื้นฟูแก้ไขลำห้วยด้วยวิธีการใด และจะต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใดที่สถานการณ์ของสารพิษปนเปื้อนจะเริ่มดีขึ้นจนชาวบ้านกลับมาดำรงวิถีชีวิตโดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติแบบเดิมได้ ทั้งนี้จะต้องติดตามการเข้ามาฟื้นฟูไปก่อนประมาณ 1-2 เดือน หากยังไม่ดีขึ้นชาวบ้านในชุมชนคลิตี้อาจจะเดินหน้าเรียกร้องต่อไป
ด้านนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ(คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ทางคพ. น้อมรับคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในคดีสารตะกั่วคลิตี้ทุกประเด็นไม่วาจะเป็นการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิงแวดล้อม ดิน น้ำ ฝนพื้นที่เป็นเวลา 1 ปี เพราะที่ผ่านมา คพ.ก็ ไม่ได้เพิกเฉยกับการป้องกันและแก้ไข และติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ แต่ได้ดำเนินการมาอย่างต่่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีการจัดการดินปนเปื้อนสารตะกั่วที่ถูกนำไปฝังกลบทั้ง 8 หลุมปริมาณราว 3,000 ตันบริเวณริมลำห้วยคลิตี้นั้น ขณะนี้ ทางคพ. มีข้อสรุปแล้วว่าจะขนดินออกมากำจัดนอกพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนข้างหน้าส่วนการจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวบ้านท้ั่ง 22 ราย ตามคำสั่งศาลรวมเป็นเงินกว่า 3.89 ล้านบาทนั่นคพ. จะดูรายละเอียด เพื่อเตรียมขอใช้งบกลางเสนอไปยังรัฐบาลในเร็วๆนี้