กทม.รุกคืบต่อรอง'นามยงค์' ปมที่จอดรถ-เรือดับเพลิง

กทม.รุกคืบต่อรอง'นามยงค์' ปมที่จอดรถ-เรือดับเพลิง

กทม.รุกคืบต่อรอง"นามยงค์" ปมที่จอดรถ-เรือดับเพลิง คาดศาลนัดไกล่เกลี่ยครั้งสุดท้าย 24 ก.พ.นี้

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองปลัดกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนในฐานะตัวแทนของกทม. รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และตัวแทนจากกรมศุลากากร ได้ร่วมหารือในการขอยกเว้นอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มรถและเรือดับเพลิง 315 คันและครุภัณฑ์ เพื่อนำรถและเรือดับเพลิงออกมาซ่อมแซม โดยทางกรมศุลกากรได้เสนอแนวทางว่า หากกทม.จะขอยกเว้นอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ในหลักการกทม.จะต้องทำให้เป็นยุทธภัณฑ์ ซึ่งต้องให้กระทรวงกลาโหม (กห.) เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย (มท.) จะรับที่จะไปดูในรายละเอียด โดยจะประสานกับสำนักงานกฎหมายและคดี กทม. เพื่อทำหนังสือถึงกระทรวงกลาโหม

ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้กทม.ได้ดำเนินการนำรถและเรือดับเพลิงซึ่งถูกส่งมาล็อตแรก และถูกนำมาเก็บไว้ที่โกดังสินค้าของบริษัท เทพยนต์ แอโรโมทีฟ อินดัสตรีส์ ต.ไทรน้อย อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อนำมาลงทะเบียนเป็นคุรุภัณฑ์ จำนวน 176 คัน ออกมาซ่อมแซมก่อน โดยทางกรมศุลกากรแนะนำให้กทม.ทำหนังสือค้ำประกันมีความพร้อมในการชำระหนี้ รวมทั้งแผนการนำรถและเรือดับเพลิงออกมาใช้ให้กรมศุลกากรพิจารณาด้วย โดยกทม.ต้องการให้การจัดซ่อมรถและเรือดับเพลิงล็อตนี้อยู่ในราคาต่ำที่สุดไม่เกิน 200 ล้านบาท  

นายจักกพันธุ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีบริษัท นามยงค์ เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือยืนยันค่าเช่าที่จอดรถดับเพลิงที่ท่าเรือแหลมฉบัง เป็นจำนวน 809 ล้านบาท ซึ่งกทม.มองว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไป จึงได้มอบหมายสำนักงานกฎหมายและคดี รวบรวมรายละเอียดเอกสารและหลักฐาน ดำเนินการฟ้องบริษัท นามยงค์ เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) ต่อศาลแพ่ง เพื่อขอนำรถดับเพลิงออกมาซ่อมบำรุงก่อนและนำมาใช้งาน ขณะเดียวกันได้ขอให้ศาลช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องราคาเช่าที่จอดรถ ในอัตราค่าเช่าที่มีความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย

โดยเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา กทม.และบริษัท นามยงค์ฯ ได้เดินทางไปที่ศาลแพ่งเพื่อให้ศาลช่วยไกล่เกลี่ยเจรจาค่าเช่าที่จอดรถดับเพลิงและอุปกรณ์ซึ่งจอดอยู่ท่าเรือแหลมฉบัง แยกเป็นรถดับเพลิง 67 คัน รถดับเพลิงบรรทุกน้ำขนาด 1 หมื่นลิตร 72 คัน โดยมีบริษัท นามยงค์ฯเป็นผู้ดูแล เพื่อขอนำรถดับเพลิงออกมาซ่อมบำรุงก่อนนำมาใช้งาน โดยการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งนี้ศาลได้ให้ทั้งสองฝ่าย กลับไปเจรจาตกลงกันนอกรอบอีกครั้ง ก่อนนัดมาไกล่เกลี่ยที่ศาลอีกครั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้ โดยตนคาดว่าครั้งนี้จะเป็นการไกล่เกลี่ยครั้งสุดท้ายที่จะได้ขอสรุป  

“กทม.จะขอความเห็นใจโดยจะพยายามต่อรองกับบริษัมนามยงค์ฯให้มากที่สุด นอกจากนี้ในวันที่16 ก.พ. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม.ได้นัดประชุมคณะกรรมการพิจารณากรณีรถดับเพลิง โดยผมจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม เพื่อหาข้อสรุปว่ากทม.จะสามารถจ่ายค่าเช่าที่จอดรถแก่บริษัทนามยงด์ฯได้เท่าไหร่ ส่วนกรณีคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศตัดสินให้บริษัทสไตเออร์ฯ จ่ายเงิน 20.49 ล้านยูโร หรือประมาณ 800 ล้านบาทให้กับกทม. โดยให้กทม.รับสินค้าทั้งหมด ขณะนี้เงินได้เข้าคลังกทม. ซึ่งผมก็ยังไม่แน่ใจว่า ค่าซ่อมแซมรถและเรือดับเพลิง รวมถึงเงินที่จะใช้จ่ายในคดีจะเพียงพอกับเงินจำนวนนี้หรือไม่ เพราะต้องรอผลการเจรจากับบริษัทนามยงค์ฯอย่างชัดเจนอีกครั้ง”นายจักกพันธุ์ กล่าว