กกต.วางแนว 5 ยุทธศาสตร์จัดเลือกตั้งสุจริต
“สมชัย” วางแนว 5 ยุทธศาสตร์จัดเลือกตั้งสุจริต สนองพระยุคลบาท “ส่งเสริมคนดี-สกัดคนชั่ว” มุ่งคัดกรองคนดีปกครองบ้านเมือง
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง แถลงว่า ภายหลังตนรับผิดชอบด้านบริหารกลาง ได้ทำแผนการวางยุทธศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณและกลไกการตรวจสอบการทำงานให้ประสบความสำเร็จ โดยมีแนวทางปฏิบัติ 1 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการกำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม โดยนำแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ตัวชี้วัดในการทำงานว่าเมื่อทำแล้วมีความสำเร็จเพียงไร และสร้างหลักกิโลการตรวจสอบหรือไมล์สโตน กำหนดเป็น 5 ไมล์สโตน ทุก 3 เดือนจนครบ 12 เดือน ต้องรายงานผลการทำงานว่าบรรลุเป้าหมายหรือไม่ หลังจากนั้นจะมีการวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมอย่างไร
“ผมได้นำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อสนองแนวพระยุคลบาทในตอนหนึ่งว่า ”การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้“ ดังนั้นยุทธศาสตร์ของ กกต.จึงมุ่งไปที่การกลั่นกรองบุคคลก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยการส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ป้องกันไม่ให้คนไม่ดี คนทุจริตหรือซื้อเสียง ใช้เงินเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง”นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวต่อว่า โดยมียุทธศาสตร์สำคัญ 5 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ยุทธศาสตร์การสร้างเครือข่ายป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง โดยร่วมมือกับเครือข่ายศูนย์ส่งเสริมแลพัฒนาประชาธิปไตยตำบล (ศส.ปชต.) เครือข่ายรด.จิตอาสา เครือข่ายลูกเสือ กกต.และเครือข่ายองค์กรเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาเหลือเพียงไม่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าน้อยมาก ดังนั้นจึงต้องสร้างโครงสร้างในการจัดการและกลไกในการประสานงานเพื่อกำหนดทิศทางให้เครือข่ายเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการทำงานของกกต.ในการสอดส่องดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยตั้งเป้าว่าจะต้องมีองค์กรเอกชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ครบทุกจังหวัดจากเดิมในพื้นที่ภาคใต้ไม่มีเลยและต้องครอบคลุมทุกพื้นที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของหน่วยเลือกตั้งทั้งประเทศ
นายสมชัย กล่าวอีกว่า 2.ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพนักจัดการเลือกตั้งมืออาชีพ โดยหนึงปีจากนี้ไปจะเตรียมบุคลากรประมาณหนึ่งแสนคนให้เป็นผู้ที่รู้จริง เข้าใจจริง ปฏิบัติได้จริงอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะมีการออกประกาศนียบัตรให้เพื่อทำหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้งหนึ่งแสนหน่วยเป็นหลักในหน่วยเลือกตั้ง โดยจะเป็นกลไกที่ช่วยแก้ปัญหาที่หน่วยเลือกตั้งเคยถูกวิจารณ์ในเชิงลบว่าทำหน้าที่ไม่ถูกระเบียบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นไม่เกินร้อยละ 0.01 หรือไม่เกิน 10 หน่วยจาก 100,000 หน่วย 3.ยุทธศาสตร์จัดตั้งหมู่บ้านปลอดการซื้อสิทธิขายเสียง โดยตั้งเป้าหมายก่อนการเลือกตั้งส.ส.ในช่วงปลายปี 60 ประเทศไทยจะมีหมู่บ้านปลอดการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างน้อยหนึ่งหมู่บ้านต่อหนึ่งอำเภอ เป็นการนำร่องเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่หมู่บ้านอื่นในการรณรงค์ต่อต้านการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะช่วงที่จะมีการเลือกตั้งเท่านั้น
นายสมชัย กล่าวด้วยว่า 4.ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกประชาชน โดยกำหนดให้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนการเลือกตั้งคุณภาพ เช่น การพัฒนาแอพพลิเคชั่น ฉลาดเลือกผู้แทน ให้ข้อมูลผู้สมัครและนโยบายพรรคการเมืองแก่ประชาชน การพัฒนาระบบการลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตจังหวัดและนอกราชอาณาจักร ตั้งเป้าหมายมีผู้ลงทะเบียนอย่างน้อยสี่แสนคน อีกทั้งจะมีการทดลองนำร่องการลงคะแนนเลือกตั้งทางอินเทอร์เน็ตสำหรับคนไทยในต่างประเทศจำนวน 3 ประเทศ และมีการเตรียมเครื่องต้นแบบลงคะแนนอีเล็คทรอนิกส์แบบหน้าจอสัมผัสทัชสกรีนซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนี้ และ 5.ยุทธศาสตร์การเพิ่มประสิทธิภาพสืบสวนสอบสวน การวินิจฉัย และการดำเนินคดีในศาล ซึ่งจะมีการจัดทำหลักสูตรอบรมวิชาชีพ พนักงานสืบสวนสอบสวนและประมวลจริยธรรมจำนวน 3 รุ่น รุ่นละ 110 คน รวม 330 คน เพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพรองรับกับกฎหมายที่ให้อำนาจกกต.มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าหลังอบรมเสร็จสำนวนคดีจากทุกจังหวัดต้องจบในระดับจังหวัดภายใน 60 วัน สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญใหม่จากเดิมที่เคยใช้เวลา 6-7 เดือน และการจัดทำคำวินิจฉัยต้องแล้วเสร็จสามารถยื่นคำร้องต่อศาลก่อนครบกำหนดได้ภายในหกเดือน โดยสิ่งที่กำหนดไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของเอกสารแต่เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้จริงและวัดผลลัพธ์ได้ เป็นการกำกับดูแลการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม