อุทธรณ์ยกฟ้อง 'มือปืนป๊อบคอร์น' ชี้ไม่มีพยานยืนยัน
ศาลอุทธรณ์แย้งศาลชั้นต้น พิพากษากลับ ยกฟ้อง "วิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์" มือปืนป๊อบคอร์น เหตุไม่มีประจักษ์พยานยืนยันเป็นคนก่อเหตุยิงใส่ช่วงชุมนุมแยกหลักสี่
ผู้สื่อข่าวรายงาน ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ยกฟ้อง นายวิวัฒน์ หรือ ท็อป ยอดประสิทธิ์ ถูกกล่าวหามือปืนป๊อบคอร์นช่วงม็อบ กปปส.ลาดพร้าว ปะทะเสื้อแดง แจ้งวัฒนะปี 57 เหตุยกฟ้องไม่มีประจักษ์พยานยืนยัน ว่าเป็นคนก่อเหตุยิงใส่ช่วงชุมนุม แยกหลักสี่ แต่ทั้งนี้ศาลให้ขังนายวิวัฒน์ไว้ ระหว่างฎีกาก่อน
ทั้งนี้ จากเหตุคนร้ายสวมเสื้อยืดชุดดำ ใส่หมวกไหมพรม และที่แขนสวมถุงกระสอบข้าวโพดสีเขียวเหลืองซึ่งอำพรางอาวุธปืน M 16 ยิงใส่ ระหว่างการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ที่เคลื่อนขบวนมาจากแยกลาดพร้าว และกลุ่มคนเสื้อแดง นปช.ที่สนับสนุนการเลือกตั้ง ที่บริเวณแยกหลักสี่ใกล้อาคารศูนย์การค้า IT สแควร์ ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 ก.พ.57 กระทั่งมีหญิง-ชาย ผู้เสียหายรวม 4 รายได้รับอันตรายสาหัส และนายอะแกว แซ่ลิ้ว อายุ กว่า 70 ปี ได้เสียชีวิต ซึ่งมีการสืบสวนสอบสวนกระทั่งออกหมายจับนายวิวัฒน์ หรือท็อป ยอดประสิทธิ์ วัย 24 ปี หลังเกิดเหตุ โดยนายวิวัฒน์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเมื่อวันที่ 19 มี.ค.57 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมสรุปสำนวนแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีนั้น
ล่าสุดวันนี้ ( 27 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 ได้ยื่นฟ้อง นายวิวัฒน์หรือท็อป ยอดประสิทธิ์ อายุ 27 ปี เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำ อ.1626/2557 เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.57 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า , พยายามฆ่าผู้อื่น , มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมืองที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำอาวุธปืนออกนอกเคหะสถานภายในพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 371 , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา ม.4, 7, 8 ,72 และ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ม.5, 6, 11, ,18 ซึ่งชั้นพิจารณา นายวิวัฒน์ จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีโดยตลอด
หลังจากศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 มี.ค.59 เห็นว่าพยานหลักฐานของอัยการโจทก์รับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า นายวิวัฒน์ จำเลย เป็นคนเดียวกับคนร้ายที่สวมชุดดำ และในมือสวมถุงกระสอบข้าวโพดสีเขียวเหลือง โดยการกระทำนั้นเป็นความผิดตามฟ้องซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมจึงให้ลงโทษทุกกรรม โดยให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทหนักสุดและฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน จำคุก 6 ปี แต่คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 รวมจำคุกนายวิวัฒน์ จำเลยไว้ 37 ปี 4 เดือน สำหรับนายวิวัฒน์นั้น ตั้งแต่ถูกฟ้อง ตลอดจนการพิจารณาคดี ศาลไม่เคยอนุญาตให้ประกันตัว โดยนายวิวัฒน์ ถูกควบคุมอยู่ที่เรือนจำคลองเปรม