ล่า 'มานพ' พ่อศิธา ทิวารี เบี้ยวนัดฟังคำสั่งคดีฟอกเงินกรุงไทย
"มานพ" ส่งทนายขอเลื่อนครั้งที่ 4 "รองโฆษกอัยการ" เผย อัยการไม่ให้เลื่อนนัด พร้อมประสาน DSI ตามตัวมาส่งฟ้อง หากยังไม่ได้ตัวให้ทำตามขั้นตอนขอหมายจับ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 30 ม.ค.62 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 นัดครั้งที่ 4 ให้ "นายมานพ ทิวารี" ผู้ต้องหาคดีสมคบและร่วมฟอกเงินทุจริตการปล่อยสินเชื่อ ธ.กรุงไทยฯ กับกลุ่มกฤษฎามหานคร ซึ่งเป็นบิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย มาพบเพื่อแจ้งคำสั่งฟ้องและจะนำตัวไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยการนัดให้มารายงานตัวนั้น เลื่อนมา 3 ครั้งแล้วจากเมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 , 31 ต.ค.61(อ้างเดินทางไปธุระที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมัน มีตั๋วแสดง จึงให้เลื่อนมาวันที่ 29 พ.ย.61 ) และ 29 พ.ย.61 (อ้างเหตุร้องขอความเป็นธรรมผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุด)
อย่างไรก็ดี "นายมานพ" ผู้ต้องหา ก็ไม่ได้มาพบอัยการ แต่มอบอำนาจให้ทนายความ มายื่นหนังสือต่ออัยการ ขอเลื่อนนัดการรายงานตัวเพื่อส่งฟ้อง โดยระบุถึงเหตุการได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุด
โดย "นายประยุทธ เพชรคุณ" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า วันนี้ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำสั่งเเละส่งตัวผู้ต้องหาฟ้องคดีต่อศาลอาญาทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งนายมานพ ผู้ต้องหา ไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4 แต่ส่งผู้รับมอบอำนาจมาขอเลื่อนการฟังคำสั่งคดีเเละส่งตัวฟ้องไปก่อน เนื่องจากได้ร้องขอความเป็นธรรม แต่คณะทำงานอัยการคดีพิเศษ พิจารณาเเล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนการฟังคำสั่ง เนื่องจากผู้ต้องหา มีพฤติกรรมขอเลื่อนการฟังคำสั่งคดีออกไปหลายครั้งเเล้ว
"นายประยุทธ" รองโฆษกอัยการ กล่าวว่า หลังจากนี้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะมีหนังสือไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ไปดำเนินการติดตามตัวผู้ต้องหา มาส่งให้อัยการฟ้องตามขั้นตอน ซึ่งหากยังไม่ได้ตัวมา ก็ให้ดำเนินการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพื่อให้ได้ตัวมาส่งอัยการยื่นฟ้องคดีในศาลต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีกล่าวหา "นายมานพ" ร่วมกันฟอกเงินกรุงไทยดังกล่าว ก่อนหน้านี้คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้มีความเห็นสั่งฟ้องนายมานพ พร้อมกับสำนวนคดีกล่าวหานางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายวันชัย หงษ์เหิน สามีของนางกาญจนาภา แต่ในส่วนของ "นางกาญจนาภา" และ "นายวันชัย" สามี ไม่มาพบอัยการตามนัดเช่นกัน อัยการก็ได้ประสานไปยังดีเอสไอตั้งแต่ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนขอศาลออกหมายจับทั้งสองแล้วเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีสมคบฟอกเงิน ที่เกี่ยวกับการโอนและรับโอนเงินซึ่งเกี่ยวข้องการทุจริตปล่อยกู้ของ ธ.กรุงไทยฯ กับเครือข่ายธุรกิจกฤษดามหานครนั้น ก่อนหน้านี้ อัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว 2 สำนวน สำนวนแรกส่วนของผู้โอน คือกลุ่มธุรกิจกฤษดามหานคร ซึ่งได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 79 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับพวกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 4 ก.ย.61 เป็นคดีหมายเลขดำ อท.214/2561 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ฯ มาตรา 4 , 5 , 9 , 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ 91 จากกรณีระหว่างวันที่ 11 ก.ย.46 –ธ.ค.47 เมื่อมีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของธ.กรุงไทยฯ ผู้เสียหายให้กับ บมจ.กฤษดามหานครและบริษัทในเครือโดยมิชอบแล้ว จำเลยกับพวกอีกหลายคนสมคบกันฟอกเงินที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ จำนวน 10,400,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นสี่ร้อยล้านบาท) นั้น
ปัจจุบันกลุ่มนายวิชัย ผู้บริหารกฤษดามหานคร ก็ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำฯ สำนวนที่ 2 กลุ่มรับโอนเงิน ที่ยื่นฟ้อง “นายพานทองแท้หรือโอ๊ค ชินวัตร” (บุตรชายคนโตอายุ 38 ปีของอดีตนายกฯทักษิณ) ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60ฐานสมคบฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.245/2561 และได้นัดตรวจเอกสารหลักฐานต่อเนื่องในเดือน ม.ค.62 – เม.ย.62 โดยจะนัดตรวจหลักฐานทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ขณะที่ “โอ๊ค-พานทองแท้” ได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล