รอยร้าวอำนาจที่ไม่สมดุลของ 'สภาสูง'
ส.ว.แบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ขั้วที่เห็นชัดเจนคือ กลุ่มสายตรงกลุ่มอำนาจเดิม และสายที่เคยเป็นกลุ่มผู้นำทางความคิดก่อนการรัฐประหาร ปี 2557
ประเด็นที่สะท้อนภาพความแตกร้าวที่ฝังลึกถูกแสดงออก ผ่านการยกประเด็น “การกำหนดวาระดำรงตำแหน่งของ กลุ่มประมุขสภาสูง ทั้ง ประธานวุฒิสภา, รองประธานวุฒิสภา อีก 2 คน รวมถึงวาระดำรงตำแหน่งของ ประธานกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา”
จุดเริ่มคือ “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม-กล้านรงค์ จันทิก” ส.ว.กลุ่มผู้นำทางความคิด ที่เสนอให้ร่างข้อบังคับการประชุมกำหนดวาระให้ชัดเจน โดยส่วนประธานกรรมาธิการฯ ควรกำหนดระยะเวลา อย่างน้อยไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ขณะที่ตำแหน่งประมุขสภาสูง ก็เช่นกัน โดยยกเหตุผลคือ การปรับบทบาทการทำงานให้สอดคล้องกับภาวะ-ยุคสมัย
แต่ในความหมายที่ซ่อนอยู่ คือ การผ่องถ่ายอำนาจการควบคุมกิจการใน “วุฒิสภา” เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวางทายาทไว้เกินความจำเป็น หรือกุมอำนาจไว้เฉพาะฝ่ายตน และเครือข่ายกลุ่มเดียวเพียงเท่านั้น ขณะที่ฝั่งไม่ยอมเขียนเรื่องกำหนดวาระดำรงตำแหน่ง ระบุว่า ไม่มีระเบียบใดวางเป็นข้อปฏิบัติไว้ และบางคนเลือกจะเงียบ เพราะมีส่วนได้เสียโดยตรง
อย่างไรก็ดีแม้ผลการทักท้วง แม้จะเป็นเพียง “ข้อเสนอแนะ” ให้ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาทำข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา นำไปพิจารณาให้เกิดความรอบคอบ แต่ด้วยสัดส่วนของ กรรมาธิการฯ ที่วางกรอบไว้เบื้องต้น คือ 35 คน มาจาก กรรมการยกร่างข้อบังคับ 18 คน และ ส.ว.ที่อยู่นอก กรรมการฯ จำนวน 17 คน กลายเป็นสิ่งที่ปรากฏภาพชัดเจนของความไม่ลงรอย
เมื่อมี “ส.ว.” เสนอให้ปรับสัดส่วนตามกรอบเบื้องต้น เพราะ ใน ดร๊าฟแรกของข้อบังคับฯ ยังมีปัญหามาก โดยเฉพาะการเขียนถ้อยคำ และการปรับเปลี่ยนเนื้อหาที่ต้องใช้การพิจารณา ที่อาจลามไปถึง “การโหวตเพื่อลงมติตัดสิน” ดังนั้นหากให้ กรรมการยกร่างฯ นั่งเป็น กรรมาธิการฯ สัดส่วนที่มากเกินไป อาจทำให้งานไม่ราบรื่นได้ในที่สุด เพราะกรรมการยกร่างฯ ย่อมพิทักษ์บทบัญญัติที่ตนเองได้ทำ
ซึ่งในประเด็นนี้ ถูกยุติ ได้ผ่านการพักการประชุมเพื่อหารือนอกรอบ ก่อนจะกลายเป็นภาพยอม ปรับสัดส่วนกรรมาธิการฯ จาก 35 คน เป็น 39 คน และมีสัดส่วนมาจากกรรมการร่างข้อบังคับ จำนวน 1 ใน 5 หรือ 7 คน ขณะที่ส.ว.นอกกรรมการฯ ได้สิทธิ 32 คน
กับภาพที่เกิดขึ้นในการประชุมวุฒิสภา เพียงวาระง่ายๆ ยังมีประเด็นที่ต้องถกเถียง ถึงความสมดุลในแง่บทบาท และ อำนาจ หลังจากนี้ไป คงต้องจับตาภาพ “วุฒิสภา” อย่างใกล้ชิดว่า สุดท้ายแล้วในวาระบางเรื่องที่เกี่ยวโยงกับอำนาจ จะมีใครยอมใคร กันแบบนี้หรือไม่