'จตุพร' เตือน 'รบ.ประยุทธ์-ผบ.ตร.' มีอันเป็นไป ไม่เร่งเคลียร์รุมยำจ่านิว
เวทียุติความรุนแรงเสนอรัฐ "จตุพร" เตือน "รัฐบาลประยุทธ์" มีอันเป็นไป หากไม่เร่งเคลียร์ปมรุมยำ "จ่านิว" ขีดเดดไลน์สืบคดี หากไม่เสร็จควรปลด "ผบ.ตร."
คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 จัดเสวนา เรื่อง ยุติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยมีน้กการเมือง นักวิชาการ และนักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเสนอทางออกต่อการยุติการใช้ความรุนแรงกับคลื่อนไหวและนักกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งรายล่าสุด คือ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ จ่านิว นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งถูกบุคคลรุมทำร้าย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมา
นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ฐานะนักปกครองต้องปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง ต่อการรณรงค์ยุติความรุนแรงกับประชาชน เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นกับฝ่ายใด ส่วนกรณีที่เกิดกับนายสิรวิชญ์ตนมองว่านายกฯ ทำเหมือนขอไปที เพราะไม่มีความคืบหน้า อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าฝ่ายความมั่นไม่กลัวจะจับคนร้ายได้ เพราะกังวลจะสืบสวนถึงรายละเอียดบุคคลที่เกี่ยวข้องและต้องอธิบาย ดังนั้นเพื่อให้เห็นการดำเนินคดีเป็นรูปธรรม นายกฯ ต้องสั่งการว่าต้องทำให้เสร็จภายในกี่วัน หากเกิดกรอบเวลาจะสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทันที
“รัฐมีหน้าที่ให้ความปลอดภัยประชาชน คนที่เป็นหัวแถวของรัฐ ไม่ควรนั่งตำแหน่งนายกฯต่อไป ที่ผ่านมาผมมองว่ามากไปต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พบชนวนรัฐบาลเผด็จการที่มีอันเป็นไปก่อนมาจากเรื่องบังเอิญที่คนรับไม่ได้ เช่น เหตุการณ์ทุ่งใหญ่นเรศวร ที่ผู้นำล่าสัตว์ป่า หรือ เหตุการณ์พฤษภา 35 ซึ่งผู้นำเสียสัตย์เพื่อชาติ เป็นต้น กรณีของจ่านิว หากจับใครไม่ได้ เหตุการณ์อาจจะพลิก เพราะ พล.อ. อาจจะไปกับจ่าก็ได้ ดังนั้นหากพล.อ.ประยุทธ์อยากอยู่นานต้องจับคนร้ายให้ได้ ไม่ใช่ให้ท้ายคนที่ตี” นายจตุพร กล่าว
ทางด้านนายโคทม อารียา สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหิดล ให้ข้อเสนอแนะต่อการยุติความรุนแรงในสังคม คือ กระจายอำนาจ, ลดความรุนแรงและสร้างความเกลียดชังผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีที่เกิดขึ้นกับนายสิรวิชญ์ตนสนับสนุนให้รัฐบาลและตำรวจเร่งรัดหาคนร้ายตัวจริงมาดำเนินคดี ด้วยความรอบคอบ เพื่อไม่ให้มีปัญหาต่อการส่งสำนวนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมถึงต้องไม่ล่าช้าที่อาจถูกหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าคนร้ายที่ทำร้ายนายสิรวิชญ์นั้นมีคนใหญ่อยู่เบื้องหลัง
“ผมเห็นใจรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แม้จะเป็นเรือเหล็ก แต่ระวังจะอับปาง เพราะมีคำพังเพยของยุโรป เคยเตือนไว้ว่า ศัตรูใดไม่ร้ายเท่ากับศัตรูภายใน พร้อมยกตัวอย่างการเกิดสนิมจากเนื้อในเหล็ก อย่างไรก็ตามผมคาดหวังว่ารัฐบาลจะทำหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่สร้างประเด็นที่ทำให้ฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมืองเพิ่มความเกลียดชัง ทั้งนี้ผมมองว่าสิ่งที่รัฐบาลจะอยู่ได้ อย่างน้อยต้องยอมรับความเห็นต่างทางการเมืองอย่างเปิดกว้าง โดยไม่ทำตัวเป็นตาแป๊ะที่คอยชี้นิ้วสั่ง” นายโคทม กล่าว
ขณะที่นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า การใช้ความรุนแรง และการคุกคามต่อคนที่เห็นต่าง ผ่านการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเคารพและอดทนกับบุคคลที่เห็นต่างของคนในสังคมลดลงมากขึ้น ซึ่งผลลัพท์ที่เกิดขึ้นคือ การเพิ่มความเกลียดชังของคนในสังคม ขณะที่หน่วยงานภาครัฐไม่มีแนวทางป้องกันความรุนแรงที่เกิดจากการไม่ยอมรับความเห็นต่าง อย่างไรก็ตามในรัฐธรรมนูญบัญญัติเนื้อหาว่าด้วยการสร้างหลักประกันด้านการแสดงความคิดเห็นของตนเอง หากไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น แต่ยังพบนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เห็นต่างจากรัฐ และตรวจสอบรัฐ ถูกทำร้าย
“รัฐบาลต้องเริ่มกระบวนการที่ยุติการสร้างความเกลียดชัง หรือก่ออาชญากรรมจากความเกลียดชั เพราะกระบวนการดังกล่าวยากเกินกว่าปัจเจกบุคคลจะดำเนินการ ทั้งนี้การยุติสร้างคำพูดจากความเกลียดชังทำได้ โดยการเปิดเผยข้อเท็จจริงในแต่ละเหตุการณ์ของความรุนแรง ทั้ง แรงจูงใจ ใครคือคนกระทำผิด และคนทำผิดต้องถูกลงโทษ” นางอังคณา กล่าว
ส่วนนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่วัดปทุมวนาราม กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดกับประชาชน รัฐต้องรับผิดชอบ จากเหตุการณ์ของนายสิรวิชญ์ ผ่านมา 1 สัปดาห์ กระบวนการสืบสวนของตำรวจขาดการแถลงรายละเอียด ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และมีนักเคลื่อนไหวรวมถึงนักกิจกรรมทางการเมืองระบุร่วมกันว่ากรณีของนายสิรวิชญ์ คือ รัฐ หรือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามทำเรื่องให้นักเคลื่อนไหวหวาดกลัว ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าการทำกิจกรรมของนักศึกษาคือการแสดงออกที่ต้องการเสนอแนะไปยังรัฐบาล ไม่ใช่การลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐ ส่วนกรณีของน.ส.กมลเกด ที่ถูกสังหารจากเจ้าหน้าที่รัฐ ผ่านมา 9 ปี มีคนถามว่าจะให้อภัยหรือไม่ แต่ตนมองว่าก่อนจะให้อภัยบุคคลใด คนที่กระทำต่อน.ส.กลเกดนั้นควรขอโทษและยอมรับผิดก่อน โดยเฉพาะคนที่ปฏิบัติหน้าที่ใน ศูนย์อำนวยกรแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้ง พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ฐานะโฆษกศอฉ. และ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตกรรมการ ศอฉ.
“การเรียกร้องโดยสันติวิธี ของประชาชน ถูกดำเนินคดี แม้นายกฯ บอกว่า ปกครองประเทศ 5 ปี มีความสงบ เหตุผลที่แท้จริง คือการสร้างความกลัวกับประชาชน และเมื่อประชาชนไม่กลัว พบเหตุรุนแรงเกิดขึ้นกับประชาชน ขณะที่นายกฯ กลับเงียบ ดังนั้นขอเรียกร้องไปยังกระบวนการสืบสวน ตำรวจควรแจ้งความคืบหน้าด้วย” นางพะเยาว์ กล่าว
ด้านพ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สปยธ.) กล่าวว่า กรณีที่เกิดกับนายสิรวิชญ์ ถือเป็นอาชญากรรมที่สังคมเชื่อว่ามีสาเหตุจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง อย่างไรก็ตามวิธีการสืบสวนของตำรวจต้องสืบค้นและตรวจค้น ทั้งนี้มีข่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจออกภาพสเก็ตช์คนร้ายเพื่อให้มีความคืบหน้า แต่รายละเอียดที่สำคัญแต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่ไม่เป็นรูปธรรม คือ การติดตามสืบยานพาหนะของคนร้าย รวมถึงติดตามตัวคนร้ายที่มีลักษณะของการรับจ้างมากกว่า ทั้งนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถช่วยให้การสืบและติดตามคดีทำได้ง่ายและรวดเร็ว
“ผมขอตั้งคำถามไปยังกระบวนการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แม้กระบวนการตีหัวจะป้องกันไม่ได้ ส่วนที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผมมองว่ามีค่าเป็นศูนย์ เนื่องจากการทำงานที่ผ่านมาไม่มีผลงานที่สำเร็จเป็นรูปธรรม และหากส่งเรื่องจริงอาจทำให้ตำรวจปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งนี้การทำงานของเจ้าหน้าที่ ล่าสุดคดีดังกล่าวใช้เวลา 1สัปดาห์ ผมมองว่าขณะนี้ควรมีข้อสรุปและมีหลักฐานเพียงพอต่อการออกหมายจับได้แล้ว” พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าว
ขณะที่นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคม นิด้า และประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวโดยเชื่อว่าความขัดแย้งในสังคมจะขยายความรุนแรงมากขึ้น และเกิดเหตุการณ์ที่สังคมไม่ต้องการ ทั้งนี้แนวทางที่จะยุติความรุนแรง ได้ควรเริ่มจากรัฐแสดงจุดยืนต่อการไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง ผ่านการเร่งคดีที่เกิดขึ้นกับนายสิรวิชญ์เพื่อเป็นสัญลักษณ์เบื้องต้นต่อการแก้ไขปัญหา
“มาตรการระยะสั้นที่ต้องเร่งทำ คือ ผู้นำทางบริหาร, นิติบัญญัติ และตุลาการต้องตระหนักและเห็นภาพให้ชัดว่า ความรุนแรงถูกพัฒนาจนกลายเป็นรากเหง้า จากนั้นออกแถลงการณ์3 ฝ่ายกับประชาชนเพื่อสร้างทศวรรษต่อการยุติความรุนแรงทุกด้าน รวมถึงไม่สนับสนุนความรุนแรง เพื่อส่งสัญญาณไปยังเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนต่อการฟื้นวัฒนธรรมสมาฉันท์ จากนั้นพรรคการเมืองทุกฝ่ายจับมือร่วมกันคัดค้านการก่อใช้ความรุนแรงเพื่อส่งสารถึงกลุ่มของตนเองให้ยุติการใช้วาทะกรรมที่สร้างความเกลียดชังทุกช่องทาง ทั้งนี้ผมเชื่อว่าแนวทางดังกล่าวหากขยายผลไปสู่ประชาชน และภาคประชาสังคม รวมถึงทุกฝ่ายจะสร้างความตระหนักร่วมกัน ความรุนแรงจะถูกยับยั้งได้” นายพิชาย กล่าว