ผลวิจัยการเมือง 3รูปแบบพรรค ชงแก้ปมครอบงำ
เปิดผลวิจัย 3 รูปแบบพรรคการเมืองไทย “ไชยันต์” ชี้ “นักการเมือง-พรรค” ยังถูกครอบงำจาก “บุคคล-คณะบุคคล” ระบุถ้ายังไม่แก้กฎหมายพรรคการเมือง ส่อเกิดปรากฏการณ์ควบรวมพรรค คาดรอบหน้าเหลือไม่กี่พรรค
วานนี้(31ต.ค.) นายไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอผลงานวิจัยหัวข้อ “ความเป็นสถาบันของพรรคการเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตย : ศึกษากรณีพรรคการเมืองไทยภายใต้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2560”
โดยนายไชยันต์ กล่าวว่า ความเป็นพรรคการเมือง 3 รูปแบบ คือ 1.พรรคการเมืองที่อยู่ภายใต้การนำของคนๆ เดียว หรือเอกบุคคล (The one) เวลาจะเลือกตั้ง ผู้สมัครต้องวิ่งเข้าหาคนๆ เดียว เช่น พรรคของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีหลากหลายชื่อพรรค เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา รวมถึงพรรคอนาคตใหม่ที่มีลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ความเป็นสถาบันพรรคการเมือง ไม่ควรขึ้นกับคนๆ เดียว ไม่เช่นนั้นหากมีเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น พรรคนั้นจะหมดสภาพไปทันที ทำให้เกิดความไม่ยั่งยืน ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรค
2.พรรคการเมืองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การนำของคนๆ เดียว แม้จะมีหัวหน้าพรรค ที่มีลักษณะของความเป็น “คณะบุคคล” (the few) เเต่คณะบุคคล อาจหมายถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในกรรมการบริหารพรรค แต่มีอำนาจเงินและมีอิทธิพลในพรรค ซึ่งพรรคที่เข้าข่ายคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคแบบนี้มีความเป็นสถาบันพรรคการเมืองมากกว่าแบบแรก และยั่งยืนกว่า
และ 3.การไม่ให้อำนาจคนส่วนใหญ่ แต่ต้องมีคณะทำงาน ซึ่งมีความเป็นองค์รวม และให้ฐานอยู่ที่ประชาชนคนหมู่มาก (the many) เปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในกิจกรรม แต่ที่ผ่านมาพรคการเมืองไทย ยังเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคมีส่วนในการจัดตั้งและกำหนดทิศทางการเมืองของพรรคน้อยมาก ดังนั้นพรรคการเมืองต้องมีส่วนประกอบทั้ง 3 ส่วน จึงทำให้เกิดความยั่งยืน
สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนตัวยังมองไม่ออกว่าเป็นพรรครูปแบบไหน เพราะมีหลายกลุ่มหลายมุ้งมาก ก็ต้องศึกษาต่อไป และยังไม่รู้ว่าใครคือผู้คุมตัวจริง ส่วนพรรคเพื่อไทย ควรปรับตัวหลังนายทักษิณ ลดบทบาทลง เพื่อเพิ่มการเเข่งขัน อาจต้องเจ็บตัวบ้างแต่ต้องเดินหน้าไปสู่ความเข้มแข็ง เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค แล้วได้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มาแทน แต่ก็ยังไม่โดดเด่น ไม่เป็นที่จดจำ ก็ต้องปรับตัว ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ มีความโดดเด่นของตัวบุคคล 3 คนหลักๆ คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และน.ส.พรรณิการ์ วานิช ก็ขอแนะว่าควรทำให้บุคคลอื่นในพรรคเป็นที่รู้จักด้วยเช่นกัน
นายไชยันต์ กล่าวอีกว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การครอบงำของบุคคลและคณะบุคคล แม้ว่าจะพยายามเพิ่มพื้นที่ให้กับสมาชิกมากขึ้นก็ตาม แต่การที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงการบังคับใช้ในหลายมาตรา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการดำรงสถานะ และกระบวนการคัดสรรผู้สมัคร ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าความพยายามในการเปิดพื้นที่ให้คนหมู่มาก เป็นผลโดยตรงจากกฎหมายพรรคการเมือง แต่กลายเป็นว่าการมีบทบาทเพิ่มขึ้นของสมาชิกพรรค เป็นผลจากการพยายามปรับตัวของพรรคการเมือง เพื่อเอาชนะการแข่งขันภายใต้ระบบเลือกตั้งใหม่มากกว่า
นายไชยันต์ กล่าวต่อว่า เหมือนปรากฏการณ์แตกแบงค์พัน และการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีจนเกิดปัญหานำไปสู่การยุบพรรคการเมือง และผลการเลือกตั้งที่สร้างความหวังให้กับพรรคเล็ก จนมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งความท้าทายกำลังรอให้พรรคการเมืองทั้งหลายได้พิสูจน์ความเป็นสถาบันของพรรค คือดำเนินกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อโอกาสและความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ทั้งนี้มองว่า ถ้ายังไม่มีการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่พรรคขนาดเล็กวิ่งเข้าหาพรรคใหญ่ จนเกิดการควบรวมและทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเหลือไม่กี่พรรคการเมือง
ขณะที่ นายสติธร กล่าวว่า ในการทำไพรมารีโหวตในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะทำแบบเต็มรูปแบบ ขอตั้งข้อสังเกตว่าจะมีไม่กี่พรรคการเมืองที่สามารถทำได้ เนื่องจากหลายพรรคติดขัดข้อกฎหมาย และปัญหาการจัดการ รวมถึงความแตกแยกภายในพรรคจากการที่ต้องเลือกผู้ชนะลงสมัคร.