"ธนาธร" ตรวจสอบงบกลาโหม ชี้มีตัวเลขใช้ไม่เหมาะสม ต้องลด40% มีเงินนอกงบน่าสงสัย สนามมวย สนามม้า สัมปทานทีวี ทำให้โปร่งใส ย้ำทำงานนอกสภาไม่เกี่ยวปลุกมวลชน ชี้มวลชนทำอะไรมีอารมณ์รู้สึกได้เอง
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้บรรยายพิเศษ "ชำแหละงบประมาณกระทรวงกลาโหม" โดย "นายธนาธร" กล่าวถึงตัวเลขงบประมาณว่า ในงบกระทรวงกลาโหมได้รับงบ 2.3 แสนล้านบาท คือเงินในงบประมาณ ที่กมธ.สภาฯ ตรวจสอบได้ มองเห็นได้แต่ยังมีเงินอีกส่วนที่เรียกว่านอกงบประมาณ ซึ่งสำนักงานงบประมาณประจำสภาฯ ทำตัวเลขเงินนอกงบประมาณของกระทรวงกลางโหม มีเท่าใด ซึ่งตัวเลขเงินนอกงบประมาณก็มาจากการใช้ทรัพยากรที่เป็นของประเทศ ยกตัวอย่างปี 2561 เงินนอกงบประมาณมี 18,657.6 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของสำนักงานปลัดกลาโหม 29.3 ล้านบาท , กองบัญชาการกองทัพไทย 100.3 ล้านบาท , กองทัพบก 12,356.5 ล้านบาท , กองทัพเรือ 3,362.4 ล้านบาท , กองทัพอากาศ 2,809.1 ล้าาท ถ้าเราเอางบนี้ไปสร้างสวัสดิการพื้นฐานให้กับเด็กทุกคน 300 บาท/เดือน ได้ถ้วนหน้า ให้เด็ก 0-6 ปี 5 ล้านคน ได้คนละ 12,000 บาท ขณะที่กระทรวงกลาโหม มีความพิเศษในการจัดงบด้วยกฎหมาย 3 ตัว คือ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 มาตรา 61(3) , ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่าย การรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน และการนำส่งคลัง พ.ศ.2562 ข้อ 8 , ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงิน พ.ศ.2554 เป็นการเปิดเงินนอกงบประมาณ ประเภท 2 คือให้บริหารจัดการเอง
โดย "นายธนาธร" ตั้งข้อสังเกตว่า ในส่วนของ สมาชิก สนช.ที่มีนายพล 81 คน มีทรัพย์สินเฉลี่ยคนละ 80 ล้านบาท มีรายได้ปีละ 12 ล้านบาท ซึ่งเงินเดือนนายพลไม่ถึงเดือนละล้านบาทแน่ๆ แล้วที่มีรายได้เดือนละล้านแสดงว่ามีอาชีพเสริม แล้วคำถามเกิดว่าทำอะไรมา เราไม่มีหลักฐานเพียงพอจะบอกว่าเป็นรายได้สุจริต หรือทุจริต แต่เราตั้งข้องสังเกตว่าในสิ่งที่เกิดขึ้นกับการจัดสรรงบประมาณจะเกี่ยวข้องเงินรายได้ที่สูงหรือไม่ซึ่งพวกเราต้องตรวจสอบ ขณะที่กองทัพบก มีรายได้นอกงบประมาณที่ประชาขนไม่เคยเห็น คือ การเช่าโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดิน คลื่นวิทยุ กองทัพไทย มี 198 สถานี , กองทัพบก 127 สถานี , กองทัพอากาศ 36 สถานี , กองทัพเรือ 21 สถานี และกองบัญชาการ 14 สถานี รวม 537 สถานี และสัมปทานช่อง 7 ไม่มีการปนะมูลใหม่ตลอดช่วง 50 ปี ไม่เคยมีใครเคยเห็นสัญญาว่าทำอย่างไร ซึ่งมูลค่า 4,212 ล้านบาท จาการให้สัมปทานบริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุในระบบอนาล๊อค จนเจ้าของมีฐานะรวยมหาศาลในช่วง 50 ปีที่ตรวจสอบตัวเลขไม่ได้ โดยมีการทำสัญญา 2 ครั้งแต่ไม่มีการประมูล ดังนั้นถ้าไม่ประมูลคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับสัญญาที่มีมูลค่ามากขนาดนี้ อย่างไรก็ตามแม้ตนออกมาจากสภาไม่ใช่จะไม่มีการตรวจสอบ เรายังตรวจสอบต่อ โดยมีคำถาม 8 ข้อที่เราถามไป เราจะรอดูกันต่อไปว่าหลังจากตั้งคำถามใน กมธ.แล้วเมื่อใดจึงจะได้คำตอบ ตอนนี้ก็ 4 วันแล้ว รอดูกันว่าเราจะได้ข้อมูลหรือไม่
"นายธนาธร" ยังกล่าวตั้งข้อสังเกตถึงการให้กู้ 1,200 ล้านบาม ไม่มีดอกเบี้ยให้กับบริษัท RTA เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ที่ทำทีวีกองทัพบก ช่อง 5 ด้วยว่า ตามรายงานตรวจบัญชี พบว่าบริษัทนั้นมีทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้าน และบริษัทขาดทุน แต่กองทัพให้กู้กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น เท่ากับเอาเงินไปเสี่ยงลงทุนเพราะถ้าหุ้นตกก็เจ๊ง โดยบริษัทก็มีชื่อนายพลอยู่ด้วยในกิจการที่กองทัพถือหุ้นครึ่งหนึ่ง ถ้ากองทัพถือหุ้น 100% คงไม่แปลกที่จะให้กู้เช่นนั้น แต่ถือหุ้น 50% และเป็นบุคคล 10% ที่ล้วนเป็นนายพลอีกและเปลี่ยนมือกันมาตลอดเป็นคนมียศนายพลชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งช่วงปี 2547 ยุคนายทักษิณ ชินวัตร เคยมีแนวคิดจะพยายามแปรรูปช่อง 5 ด้วย แต่ก็เกิดรัฐประหารปี 2549 เสียก่อนแนวคิดการแปรรูปก็หายไปเลย เราจึงเรียกร้องตรวจสอบความไม่โปร่งใส
นอกจากนี้ยังมี สนามมวยลุมพินี ที่ใหม่ ถ.รามอินทรา จะเรียกว่าเป็นอะไร เรียกรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นนิติบุคคล เป็นบริษัทหรือไม่ เราไม่รู้ รู้เพียงว่าตั้งอยู่ในเขตพื่นที่ทหาร กรมอยู่ภายใต้การดูแล ของกรมสวัสดิการทหารบก แต่ไม่ได้อยู่ในผังองค์กรกรมสวัสดิการฯ และใช้งบประมาณ 380 ล้านบาท ส่วนก่อนจะสร้างที่รามอินทรา ใช้งบ 50 ล้านจะสร้างทุ่งมหาเมฆแต่สุดท้ายไม่ได้สร้าง เราก็ไม่รู้ว่าใช้งบนั้นจากเงินส่วนใด เงินของประชาชนเสียภาษีหรือไม่ รู้เพียงว่า ผบ.ทบ เป็นประธานอำนวยการ , เลขาธิการสนามมวย คือ ผอ.กองกีฬา กรมสวัสดิการ แต่เมื่อไปดูการดำเนินการของกองกีฬา พบว่าไม่มีการจัดซื้อจัดจ้างตามมะเบียบราชการเพื่อสนามมวยลุมพินี แต่มีการจัดซื้อแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งในชั้น กมธ.ตนเคยตั้งคำถามเรื่องนี้ไป 4 ข้อเกี่ยวกับกองทุนสนามมวยลุมพินั และงบ 380 ล้านบาทใครลงทุน ขอดูเอกสารเปรียบเทียบราคา และยังมีสนามม้า ซึ่งกองทัพบก มี 2 แห่ง คือสนามม้าหนองฮ้อ ที่เชียงใหม่ และสนามกีฬาทหารนครราชสีมา อยู่ในค่ายสุรนารี กองทัพภาค 2 ซึ่งไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับสนามม้าเชียงใหม่ มีแต่สนามม้าโคราชที่เคลื่อนไหวผ่านทางเว็บไซต์ของสนาม ขณะที่สนามม้ามีการพนันมีหน้าตั๋ว โดยปัจจุบันการพนันม้าได้ปฏิบัติตามระเบียบแข่งขันม้าของกระทรวงมหาดไทย ปี 2524 หรือไม่ ที้กำหนดว่าผู้จัดต้องขอใบอนุญาตทุกดือน จึงมีคำถามว่า แล้วได้มีการขอหรือไม่ ใครถือใบอนุญาต รายได้การเข้าชมและการพนันแข่งม้าเข้าที่หน่วยงานใดบ้าง ทุกอย่างควรถูกต้องโปร่งใส เราก็ถามไปยังกระทรวงกลาโหมก็รอดูว่าจะตอบพี่น้องประชาชนอย่างไร ซึ่งตนเห็นว่าหากจะต้องมีมวย มีสนามม้าอยู่ ก็ควรทำให้ถูกต้องว่า ใครจะบริหารก็ประมูลแข่งกัน ทำสัญญาให้ชัดเจนโปร่งใส ไม่ต้องมีใต้โต๊ะ กลางโต๊ะ โดยตนไม่ได้บอกให้ยกเลิกมวย ยกเลิกม้า แต่เราควรทำเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้โปร่งใส มิเช่นนั้นจะเกิดข้อสังสัยว่านายพลจะมีเงินรายได้หลักล้านได้อย่างไร ในเมื่อเงินเดือนราชการมีจำนวนไม่มาก
ทั้งนี้ "นายธนาธร" ยังกล่าวตั้งข้องสังเกตุเกี่ยวกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO ด้วยว่า เราพบข้อมูลในเพจหนึ่งของกองทัพ ที่นำเสนอข้อมูลโจมตีอีกฝ่าย เราจึงมีคำถาม 4 ข้อกับกระทรวงกลาโหมว่ามีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไม่ เพราะในเอกสารงบประมาณ ไม่มีงบเรื่องนี้ เรามองไม่เห็น ถ้ามีอยู่ในหน่วยงานใดบ้าง กี่หน่วยงาน ใช้งบปีละเท่าใด อำนาจกำหนดเนื้อหาที่ถูกต้องอยู่ที่ใคร เช่น ใครเป็นศัตรูของชาติ , ความจริงที่ถูกต้อง ที่เราต้องถามเรื่องนี้ คือมีเนื้อหาที่ทำให้คนเกลียดชังกัน ซึ่งเราต้องไม่สร้างให้คนเกลียดชังกัน โดยวันที่เราถามเรื่องนี้ไปชั้น กมธ.ยังไม่มีใครตอบเลย ขณะที่งบภาระผูกพันงบประมาณข้ามปีที่จะเริ่มในปี 2563 โดยพบว่า กระทรวงคมมนาคม งบผูกพันเยอะมากที่สุดแต่เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าอาจมีการเส้นทางสัญจรต่อเนื่องมาก ขณะที่กระทรวงกลาโหมรองลงมา โดยก่อหนี้มากซึ่งกระทบกระทรวงอื่นลงทุนได้น้อย โดยงบกลาโหมเพิ่ม 1.9 หมื่นล้านบาท เป็น 4.3 หมื่นล้านบาทในช่วง 10 ปี โดยที่มีการใช้งบว่าไปสร้างที่พัก แต่มีข้อเท็จจริงตามข่าวว่าไปสร้างบ้านพักรับรองขนาดใหญ่ ไม่ใช่เพื่อปรับปรุงบ้านพักทหารชั้นผู้น้อย และยังมีกรณีที่กระทรวงกลาโหมตั้งงบรายจ่ายลงทุนไว้สูง แต่ใช้จริงไม่เต็มโควต้าที่ระบุ แบบไม่ใช้ ทำให้กระทรวงอื่นหมดโอกาสในการนำเงินไปลงทุน
ตัวอย่าง ปี 2561 ใช้ 54.94% , ปี 2562 ใช้ 41.90% เท่ากับเบียดบังคนอื่นที่จะใช้บบได้ ดังนั้นตนเคยเสนอตัดงบรายจ่ายลงทุนไป 40% ให้ใช้ 60% เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี งบประมาณจึงควรไปใช้ในการจัดการภาวะเศรษฐกิจ ไม่ควรเพิ่มหนี้สินให้กับประเทศในเวลานี้ ขณะที่ประเทศไม่มีภัยสงครามที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต 3-5 ปี ที่จะต้องไปลงทุนยุทโธปกรณ์มหาศาลในภาวะที่เศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ซึ่งตนไม่ได้บอกว่ากองทัพไม่ควรที่จะเพิ่มศักยภาพ แต่ไม่ใช่การลงทุนยุทโธปกรณ์และงบรายจ่ายกว่า 30,000 ล้านบาทในปี 2563 นี้
อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุพฤษภา ปี 2535 ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็นำมาซึ่งวาระที่สังคมทุกคนคิดร่วมกันแล้วกลายมาเป็นรัฐธรรมนูญฯ ปี 2540 โดยหนึ่งในวาระที่คนเห็นร่วมกันวันนั้นคือ คนไม่ยอมรับทหาร รู้สึกเกลียดมาก แล้วก็พูดถึงการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งอาจพูดได้ว่าการปฏิรูปกองทัพเป็นเรื่องเดียวที่คนเห็นร่วมกันที่จะให้ปฏิรูปแต่ลืมทำเรื่องนี้ไป เราไปทำแต่เรื่องส.ว. การสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง สุดท้ายหากประชาชนกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง ก็อย่าลืมเสนอแนวคิดการปฏิรูปกองทัพต่อไป โดยที่ผ่านมาเท่าที่พรรคอนาคตใหม่ ทำได้เราก็เสนอร่าง พ.ร.บ.การเกณฑ์ทหารแล้ว เรื่องปฏิรูปงบประมาณกองทัพ เรื่องภารกิจทางพาณิชย์ที่ไม่ได้อยู่ในภารกิจชองกองทัพเลยต้องเลิกทำ กองทัพจะไปนั่งเป็นบอร์ดเอกชน นัฐวิสาหกิจต้องเลิกให้หมด ทั้งนี้ในการจัดบรรยายพิเศษ
ภายหลังที่นายธนาธร กัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ลาออกจาก กมธ.งบประมาณและเตรียมไปทำงานรณรงค์กับประชาชนนั้น นายธนาธร ให้สัมภาษณ์ว่า ในการจัดกิจกรรมบรรยายสาธารณะนี้ ก็เป็นการทำหน้าที่ของพรรคการเมืองให้ดีที่สุดในการตรวจสอบการใช้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน เพื่อให้ภาษีทุกบาทนำไปใช้เพื่อประโยชน์การกินดี อยู่ดีมีสุขให้มากที่สุด
เมื่อถามว่าการลาออกจาก กมธ.การทำงานในสภาและมีบางสื่อเริ่มวิจารณ์ไปในทางว่าจะออกมาปลุกระดมมวลชนหรือไม่ "นายธนาธร" กล่าวว่า ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงก็จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองใหม่ และเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการเห็นตนอยู่ในสภา เราก็อยากทำงานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสภาตนจึงขอเวลาของตนไปทำการเมืองในพื้นที่ใหม่ๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับคดีต่างๆ ซึ่งเราเห็นชัดแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกรัฐสภาที่เราตั้งมั่นมุ่งหมายไว้อย่างเดียวไม่พอ อย่างไรก็ดีในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ เรายังตั้งใจที่จะทำงานการเมืองในสภาอย่างมุ่งมั่นโดยเห็นได้ว่าเรานำเสนอร่าง พ.ร.บ.ที่เป็นนโยบายหาเสียงของเราเข้าสู่สภาแล้ว เช่น การหาเสียงว่าจำเป็นต้องแก้ไขประกาศ-คำสั่ง คสช. 27 ฉบับ เป็นอุปสรรคกานพัฒนาประเทศและที่ริดลอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเราเสนอร่าง พ.ร.บ.ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช. และเรายังรณรงค์เรื่องการยกเลิกกานเกณฑ์ทหาร ซึ่งแม้หลังการเลือกตั้งเราไม่ได้เป็นรัฐบาลจึงไม่อาจจะทำสิ่งที่เราประกาศไว้ได้ในฐานะฝ่ายบริหาร แต่เราทำได้ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้นการทำงานในสภาของพรรคอนาคตใหม่ยังทำต่อไปอย่างหนักแน่นและมั่นคง โดยการทำหน้าที่ในส่วนนี้ตนเชื่อว่านายปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคฯ และ ส.ส.พรรค ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ และเชื่อว่าภายใต้การนำของนายปิยะบุตร ในสภาฯ พรรคอนาคตใหม่จะเดินต่อไปอย่างมีคุณภาพ อย่างสร้างสรรค์
เมื่อถามย้ำว่า ในแง่มวลชนนอกสภา จะไม่มีเกิดขึ้นแน่นอนใช่หรือไม่ "นายธนาธร" กล่าวว่า ตนไม่สามารถได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น เพราะอยู่ที่ความรู้สึกของประชาชน ไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกของตน ถ้าไม่ว่าตนจะทำอะไรแล้วประชาชนไม่เห็นด้วยก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนมากกว่า