'อนงค์วรรณ' แจงปปช. 3 ส.ค. 'ยิ่งลักษณ์-สุรนันทน์' ตอบโต้

'อนงค์วรรณ' แจงปปช. 3 ส.ค. 'ยิ่งลักษณ์-สุรนันทน์' ตอบโต้

“สมศักดิ์” คาใจ 12 ปี ป.ป.ช.เพิ่งแจ้งข้อกล่าวหา ‘อนงค์วรรณ’ ปมทุจริตฝายแม้ว โวยกระบวนการสอบเหมือนจงใจจะชี้นำหรือหาเหตุผลในการจับผิดให้ได้หรือไม่ เผยภรรยาพร้อมไปให้ข้อมูล 3 ส.ค.นี้ ขณะที่คดีทุจริตอีเวนท์ “ยิ่งลักษณ์” สวนกลับป.ป.ช.จ้องเล่นงาน

จากกรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยความคืบหน้าสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ที่คงค้างใน ป.ป.ช. มีรายงานว่า กรณีกล่าวหานางอนงค์วรรณ เทพสุทิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับพวกกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อลดผลกระทบ ภาวะวิกฤติโลกร้อน (ฝายแม้ว) วงเงินงบประมาณปี 2551 จำนวน 770 ล้านบาท กรณีการก่อสร้างฝายต้นน้ำแบบผสมผสานและการเพาะชำ/ปลูกหญ้าแฝก โดยมิชอบ และหักเงินโครงการดังกล่าว เพื่อประโยชน์ สำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ซึ่งมีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเมื่อปี 2555

กระทั่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาแล้ว มีมติแจ้งข้อกล่าวหานางอนงค์วรรณ เพื่อให้มีหนังสือรับทราบ และให้เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

เรื่องดังกล่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม สามีนางอนงค์วรรณ ได้ระบุว่า เรื่องนี้คงต้องย้อนเวลากลับไปกว่า 12 ปี สมัยตนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง นางอนงค์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และได้ดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงทรัพยากรฯ สาเหตุที่มีการร้องเรียนในสมัยนั้น ตนเข้าใจว่ามีการลงชื่อร้องเรียน แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริง คนที่ลงชื่อร้องเรียนได้ยืนยันกับผู้ตรวจสอบว่าตัวเขาเองไม่ได้ลงชื่อร้องเรียน กระบวนการสอบเหมือนจงใจจะชี้นำหรือหาเหตุผลในการจับผิดให้ได้หรือไม่ 

การพิจารณาเรื่องนี้ยาวนานมีการเปลี่ยนอนุกรรมการ หลายชุด จนตนนั้นเข้าใจว่าเรื่องนี้ได้ยุติไปแล้ว กระทั่งเวลาผ่านมาเป็น12 ปี ป.ป.ช.เพิ่งมาแจ้งให้รับทราบว่า นางอนงค์วรรณ เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นรัฐมนตรีในขณะนั้น

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนทราบมาว่าที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ตั้งกรรมการสอบสวนตรวจสอบเรื่องนี้หลายครั้ง ว่าได้การดำเนินงานจริงหรือไม่ โดยมีรูปถ่ายยืนยันพร้อมค่าพิกัดของฝายทุกตัว และเมื่อ สตง. ไปตรวจสอบได้ทำหนังสือให้กรมบัญชีกลางเข้าตรวจสอบด้วย ผลการชี้แจงของกรมบัญชีกลาง

“ยืนยันว่างานที่ออกมามีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับการลงทุน ผมได้ไปศึกษาสาเหตุของการสร้างฝายแม้วจำนวนมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีความลาดชันสูง จึงต้องสร้างฝายให้ถี่ เพื่อที่จะอนุรักษ์ดินและน้ำ ฝายดังกล่าวยังช่วยป้องกันไฟป่า เพราะทำให้ดินมีความชุ่มชื้น ในเวลานั้นจึงไม่มีไฟป่ามาก แต่ขณะเดียวกัน ในเวลานี้ประเทศกลับถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ประชาชนต้องเป็นโรคทางเดินหายใจ”นายสมศักดิ์ กล่าว

นายสมศักดิ์ ยังอธิบายถึงการออกแบบฝายเป็นไปตามหลักวิชาการที่กรมอุทยานที่ได้ศึกษาและกำหนดค่าพิกัดพื้นที่ไว้หลายปี และขั้นตอนการออกแบบมีมาก่อนที่นางอนงค์วรรณจะรับตำแหน่ง โครงการนี้มีการผลักดันมานาน แต่ไม่สำเร็จเพราะงบประมาณไม่เพียงพอ แต่เป็นประโยชน์อย่างมาก โดยในปัจจุบันทั้งกรมป่าไม้ กรมอุทยาน และหน่วยงานอื่นยังดำเนินการกิจกรรมนี้อยู่

“เรื่องนี้ยาวนานมาถึง 12 ปี คุณอนงค์วรรณ ไม่เคยถูกเชิญให้เข้าชี้แจงใดใดเลย และผมเชื่อว่าเวลานี้ ภรรยาของผมพร้อมที่จะไปให้ข้อมูลในวันที่ 3 ส.ค. อย่างแน่นอน” นายสมศักดิ์ กล่าว

“ยิ่งลักษณ์-สุรนันท์”โต้ป.ป.ช.

ทางด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คเพื่อตอบโต้คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยระบุว่า ได้เห็นข่าวที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดเรื่องดำเนินการจัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” วงเงิน 240 ล้านบาท โดยมิชอบนั้น ทำให้เกิดความสงสัย และขอตั้งข้อสังเกตกับ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า มีความขยันในการเร่งรัดคดีตน ฝ่ายเดียว 

เพราะภายในเดือนนี้เดือนเดียว ป.ป.ช. ก็มีการชี้มูลความผิดตนเองถึง 2 คดีติด ๆ กัน โดยวันที่ 1 ก.ค. 2563 ชี้มูลเรื่องการใช้อำนาจโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ และเมื่อวานที่ผ่านมาก็ถูกชี้มูลในคดีนี้อีก ซึ่งผิดกับคดีที่ฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันถูกร้อง และขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ดูเหมือน ป.ป.ช. จะให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลปัจจุบันมากเป็นพิเศษในหลายคดี ทั้ง ๆ ที่เป็นคดีที่สังคมเกิดข้อกังขาและตั้งข้อสงสัยมากมายกับการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.และผลการพิจารณาหลายคดี ก็ค้านกับความรู้สึกของประชาชน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุด้วยว่า วันนี้แทนที่ ป.ป.ช. จะให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณและการใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนทั้งจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ปากท้อง และปัญหาโควิด-19 ที่รอการแก้ไข แต่กลับมาเร่งรัด เร่งรีบ กับคดีของฝ่ายที่เห็นต่างและคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล

และในโพสต์ดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ตอบผู้มาคอมเมนต์ ตอนหนึ่งด้วยว่า

บางครั้งการนำนโยบายหรือสิ่งใหม่ๆมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทำให้เกิดการสร้างงานในประเทศ และเป็นการใช้ภาษีของประชาชนเพื่อการลงทุนอย่างคุ้มค่า ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เกิดการต่อต้าน ถึงแม้เป็นนโยบายที่ดีกลับถูกโจมตี และคัดค้านแต่ในที่สุดรัฐบาลนี้ก็กลับนำเอานโยบายนี้ไปทำโดยใช้เงินมากกว่าอีก แต่กลับไม่มีใครค้านหรือตรวจสอบ

“สุรนันทน์”ยัน คตร.ตรวจแล้ว

ขณะที่นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊คชี้แจงกรณีเดียวกันนี้ว่า ขอยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ในตำแหน่งหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความระมัดระวัง อย่างรอบคอบ ยึดถือกฎหมายและระเบียบ รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นและคำนึงถึง ประโยชน์ของรัฐและประชาชน เป็นที่ตั้ง การปฏิบัติหน้าที่ของตนในส่วนที่เกี่ยวกับขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ได้ยึดถือ และปฏิบัติตาม ระเบียบและกฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทุกประการ

ภายหลังที่ตนพ้นจากตำแหน่งแล้วได้มีการตรวจสอบจากคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีข้อสรุปว่าการจัดซื้อจัดจ้างดำเนินโครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020 ถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ และได้อนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการดังกล่าว โดยไม่มีหน่วยงานใดทักท้วง

ในปัจจุบันตนมีสถานะเป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งตามวรรคสองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 บัญญัติให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด เพราะจะต้องมีการพิสูจน์ ความถูกผิดกันในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป จึงขออนุญาตเรียนข้อเท็จจริง ดังกล่าว ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า กระบวนการยุติธรรมขั้นต่อไป ทั้งสำนักงานอัยการสูงสุดและกระบวนการทางศาล จะให้ความเป็นธรรมและประสาธน์ความยุติธรรมแก่ตน และผู้ที่ถูกกล่าวหาคนอื่นด้วย อย่างแน่นอน