'วิชา' แฉตร.ถูกย้ายหลังทำเรื่องออกหมายแดง จับ 'บอส'

'วิชา' แฉตร.ถูกย้ายหลังทำเรื่องออกหมายแดง จับ 'บอส'

"วิชา" เรียกตำรวจแจงขั้นตอนอินเตอร์โพล อึ้งถูกโยกย้ายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลังทำเรื่องออกหมายแดงจับ "บอส " ด้านอัยการสูงสุด หลบสื่อดอดแจง

ที่สำนักงานกฤษฎีกา นายวิชา มหาคุณ ประธานประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน​ กล่าวว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เชิญ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบ.สำนักงาน ส่งกำลังบำรุง ซึ่งในขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองงานต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ติดต่อกับอินเตอร์โพลในการออกหมายแดงเพื่อจับนายวรยุทธ อยู่วิทยา  พล.ต.ต.อภิชาติ บอกว่าตัวเองถูกกดดันอย่างหนัก เพราะหลังจากที่ประสานเรื่องออกหมายแดงแล้ว ก็ถูกโยกย้ายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถูกเอามาแขวนไว้ที่กองบังคับการ ประจำ จ.นครราชสีมา และนับตั้งแต่วันนั้นก็ต้องไปช่วยทำงานที่กระทรวงแรงงาน โดยพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงานในขณะนั้นที่ได้ช่วยให้มีงานทำ และจากนั้นได้มาช่วยงานกองบังคับการกฎหมายและคดีอยู่ได้ 1 ปีก็ถูกโยกย้าย มาเป็นรองผู้บัญชาการส่งกำลังบำรุง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายงานที่เจ้าตัวไม่คุ้นทั้งนั้น จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะถูกกระเด็นไปไหนอีก

พล.ต.ต.อภิชาติ ได้ร้องขอความเป็นธรรมด้วยว่าเดือดร้อนมากกับคดีนายวรยุทธ และฝากสื่อมวลชนช่วยจับตาดูเรื่องการโยกย้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในสัปดาห์หน้า ขอให้คอยดูด้วยว่า ท่านจะได้รับความเป็นธรรมกลับคืนมาหรือไม่ เพราะท่านไม่เคยทำอะไรที่ไม่ถูกต้องเลย เราก็เห็นข้อนี้อยู่ว่า ท่านเป็นคนตั้งใจทำงานและจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการออกหมายแดง ที่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เป็นคนมอบหมายให้ทำ ท่านก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงตกเป็นผู้ที่ไม่พึงปรารถนา เพราะฉะนั้นผมขอแจ้งให้ประชาชนทั้งหลายทราบเลยว่า คดีนี้ไม่ปกติ ขอให้ทุกคนไปวิเคราะห์เอาเอง”

นายวิชา กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่อัยการสูงสุดมาชี้แจงในวันนี้นั้น ได้ยืนยันว่าการสั่งการของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด เป็นการสั่งการโดยที่ได้รับมอบอำนาจ เป็นไปตามคำสั่งในเรื่องร้องขอความเป็นธรรม และอัยการสูงสุดยังบอกด้วยว่า ยังมีรองอัยการสูงสุดอีกท่านหนึ่งชื่อนายสมศักดิ์  จะได้รับมอบอำนาจเรื่องการดำเนินการในคดีอาญาในเขตของศาลอาญากรุงเทพใต้ อย่างไรก็ตามแต่การสั่งโดยนายเนตร กระทบไปถึงการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเป็นเรื่องการสั่งในคดี เราก็ถามว่าไม่ทับอำนาจกับนายสมศักดิ์ เพราะเขาได้รับมอบอำนาจในการสั่งคดี  อัยการสูงสุด.ชี้แจงว่า เป็นคนละเรื่องกัน  แต่คณะกรรมการเห็นว่าเรื่องนี้ก็สำคัญเหมือนกัน เพราะกระบวนการในการสั่งร้องขอความเป็นธรรม แม้ว่าจะเป็นการสั่งอันเนื่องจากมีผู้ร้องมา แต่ปัญหาก็คือ สิ่งที่ร้องมาจะต้องสั่งไปเกี่ยวพันกับคดีอย่างนี้เป็นอำนาจของนายเนตร อย่างสมบูรณ์หรือไม่ คณะกรรมการฯจึงขอร้องว่า หากเคยมีคดีลักษณะแบบนี้ ขอให้ช่วยส่งรายละเอียดคดีนั้นมาให้พิจารณาหน่อย เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า อสส.เคยสั่งคดีในลักษณะนี้มาแล้ว ขอให้คัดคำสั่งเดิมของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ที่สั่งฟ้องคดีนี้มาให้พิจารณา

นายวิชา กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีนายสมยศ ได้มาชี้แจงว่า ในวันที่ พ.ต.อ ธนสิทธิ์ กล่าวอ้างว่า ได้พานายสายประสิทธิ์ มาพบในวันที่ 26 ก.พ.2559 นั้น เขาไม่ได้อยู่ประเทศไทย แต่ไปประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ และได้มอบเอกสารหลักฐานให้คณะกรรมการด้วย ก็แสดงว่า ท่านปฏิเสธไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ แต่ยอมรับว่าเป็น สนช.ใน กมธ.กฎหมายฯ จริงและยอมรับว่าได้มีการส่งรายงานไปที่อัยการสูงสุดจริง

เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปที่แต่ละฝ่ายให้ข้อมูลไม่ตรงกันทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์สำนักงานตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐ.) นายวิชา กล่าวว่า เราจะไม่พูดว่าใครผิดใครถูก จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปแต่เมื่อเป็นเช่นนี้กระบวนการรับฟังข้อเท็จจริงยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากพล.ต.อ.สมยศไม่ยอมรับตาม พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ และ พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี  ผู้กำกับ (สอบสวน) สน.ทองหล่อ ให้ข้อมูลไว้ จากนี้คณะกรรมการจะปรึกษาหารือกันเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป แต่ขณะนี้เราพบประเด็นใหม่ขึ้นมาเท่านั้น

เมื่อถามถึงความชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ถอนหมายแดงออกจากอินเตอร์โพล นายวิชา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า ใครเป็นผู้ถอน แต่ในวันจันทร์นี้ได้เชิญตำรวจกองงานต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนปัจจุบันมาชี้แจง รวมถึงจะเชิญตำรวจที่เชียงใหม่ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง รวมถึงการชันสูตรพลิกศพและพยานในส่วนของตำรวจอีกหลายปากมาชี้แจงข้อมูลด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการเข้าชี้แจงของนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ต่อคณะกรรมการชุดของนายวิชาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในครั้งนี้ ได้หลบผู้สื่อข่าวไปจอดรถที่ชั้นใต้ดินก่อนที่จะขึ้นลิฟท์ ตรงไปยังห้องประชุมทันที ทำให้สื่อไม่มีโอกาสได้ซักถามนายวงศ์สกุล ถึงคดีนี้