"ปธ.วิปฝ่ายค้าน" ยันไม่ซูเอี๋ย “นายกฯ-รัฐบาล” 

       นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิป ฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการมองรัฐสภา ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคล ในวันที่ 16 - 19 กุมภาพันธ์ ว่า พรรคฝ่ายค้านตกลงกรอบเวลาอภิปราย แล้ว คือ 42 ชั่วโมง ส่วนเวลาของรัฐบาลที่จะตอบชี้แจงนั้นไม่ได้กำหนดไว้ ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้เวลาได้ไม่จำกัด ซึ่งอาจจะใช้เวลาตอบ 100 ชั่วโมงถือเป็นสิทธิ์ แต่ควรให้ยุติภายในน 4 วัน และรัฐบาลควรคำนึงถึงความยุติธรรมด้วยเช่นกัน เช่น การใช้เวลาประท้วงการอภิปราย เป็นต้นอย่างไรก็ดีการอภิปรายของฝ่ายค้านนั้นอาจจะใช้เวลาเกินกรอบเวลาไปบ้าง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย

       นายสุทิน กล่าวด้วยว่า สำหรับการแบ่งเวลาให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ใช้หลักจำนวนคนและสาระที่จะอภิปราย เช่น พรรคเล็กที่มีข้อมูลได้รับเวลาอภิปราย 1 ชั่วโมง ครึ่ง เป็นต้น สำหรับโครงสร้างการอภิปราย คือ ชี้ให้เห็นความล้มเหลว ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ, สังคม, การแก้ปัญหาโควิด-19 เพราะความไร้ประสิทธิภาพ ต่างประเทศไม่ยอมรับ อีกทั้งยังพบการทุจริตซึ่งจะมีการยกตัวอย่างให้เห็น รวมถึงกรณีการเอื้อพวกพ้อง ผู้นำขาดจริยธรรม โดยทั้งหมด

       “การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ จะมีกระบวนการต่อเนื่อง ทั้งยื่นศาล และยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แม้คุณจะชนะในสภาฯ แต่ไปตายที่ศาล ถูกชี้มูลความผิด และทำให้เกิดวิกฤตศรัทธา ชาวบ้านไม่ต้อนรับ เดิมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือ การล้มรัฐบาล แต่รอบนี้แม้ฝ่ายค้านหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล 3 ระดับ คือ  1.วิธีคิดแก้ปัญหา พฤติกรรมการบริหาร 2.เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารที่เป็นจุดอ่อน คนที่ไร้ประสิทธิภาพ โกง ต้องปรับออก และ 3.ความต้องการสูงสุดคือการเปลี่ยนรัฐบาล ทั้งนี้ฝ่ายค้านยืนยันว่าไม่ต้องการซูเอี๋ยกับรัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรี”นายสุทิน กล่าว

       ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวต่อกรณีที่สังคมกังวลต่อการอภิปรายพาดพิงสถาบันและดึงสถาบันลงสู่การเมือง ว่า ตนกังวล และตนได้เตือนพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า นำสถาบันเล่นการเมืองไม่คุ้มและอาจขาดทุน แต่หากมีความจำเป็นพูด ต้องใช้มุมพูดว่ารัฐบาลทำในสิ่งที่ไม่ควรทำในการปกป้องสถาบัน เพื่อตำหนิรัฐบาล ส่วนกรณีที่ในอดีตไม่เคยนำเรื่องสถาบันอภิปราย นั้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีกเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทั้งนี้ยืนยันว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายด้วยความมีวุฒิภาวะ.