ปม 'ตั๋วช้าง' พปชร.งัดข้อนายกฯ ขวางรวบ 'กระทรวงเกรดเอ'
กลุ่มแกนนำที่ใหญ่ที่สุดใน "พลังประชารัฐ" ตอนนี้ ดูเหมือนกำลังมั่นใจในขุมกำลัง ที่สามารถรวบรวมส.ส.ในพรรคร่วมๆ ครึ่งร้อย ยังไม่นับส.ส. "พรรคเล็ก" และในส่วนของ "ฝ่ายค้าน" จึงเปิดศึก บีบคอ "นายกฯ" อย่าดึงคนนอกมากินตำแหน่ง "รัฐมนตรี" แถมยังท้าทาย ถ้ากล้า "ยุบสภา" ก็ไม่หวั่นอีกแล้ว
นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทางการเมืองของซีก “พลังประชารัฐ” หรือ พปชร. เมื่อแกนนำ “กลุ่มกทม.” ทั้ง “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” และ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกในคดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม “กปปส.” จนต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการ และรัฐมนตรีดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
การหลุดจากตำแหน่งของทั้ง 2 คน กำลังส่งแรงกระเพื่อมภายในขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ส.ส.ของพรรคเกือบร้อยคนลงชื่อมอบอำนาจ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพปชร. เลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรี ถือว่าเป็นเด็ดขาด
เรียกว่า ต้องการดักคอ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่มักเอาคนนอกพรรคมากินตำแหน่งสำคัญโดยอ้างโควตา “นายกฯ” อยู่เสมอ ด้วยเหตุผล “ไม่ไว้ใจนักการเมือง”
โดยหลังจากกลุ่ม กทม.เจออุบัติเหตุทางการเมืองอย่างหนักหน่วง ดุลอำนาจใน พปชร. จึงสวิงมายังสาย “ธรรมนัส” อย่างเต็มที่ และแกนนำกลุ่มนี้ก็กำลังเตรียมขยับอัพเกรดเก้าอี้รัฐมนตรีกันยกแผง
ว่ากันว่า คีย์แมนที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้ ส.ส.ลงชื่อ คือ “กลุ่ม 3 ช” นำโดย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” รมช.แรงงาน ที่อิทธิพลในพรรคกำลังเบ่งบานถึงขีดสุด จนกลายเป็นก๊กการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในพปชร.ขณะนี้ โดยมี ส.ส.ในคาถาร่วมๆ 50 ชีวิต และเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิด “พล.อ.ประวิตร” มากที่สุด
หากวัดขุมกำลังกับกลุ่มอื่นในพรรค นับว่าสาย “ธรรมนัส” ที่มี ส.ส.ในมือมากที่สุดตอนนี้ แต่กลับไม่สะท้อนผ่านตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการ” เลยแม้แต่ที่นั่งเดียว ดังนั้นการ ปรับ ครม.รอบนี้จึงเป็นโอกาสดีที่สุดสำหรับ “กลุ่ม 3 ช”
* ขวางนายกฯเลิกโควตา “ตั๋วช้าง”
เมื่อตำแหน่ง รมว.ศึกษาฯ และดิจิทัลฯ ว่างลง จึงเป็นจังหวะสลับสับเปลี่ยนที่ดีที่สุด และการร่วมลงชื่อของ ส.ส.พปชร. ยังตีกันนายกรัฐมนตรี ที่มักเอาเก้าอี้สำคัญไปประเคนคนนอกพรรค นับตั้งแต่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน โดยมองว่านายกฯ ที่ถือ“ตั๋วพิเศษ” หรือ “ตั๋วช้าง” ยึดไปเป็นโควตาตัวเองทั้งหมด
“พล.อ.ประวิตร ต้องฟังลูกพรรค ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว เราให้เกียรตินายกฯ ตลอด ไม่ใช่กลัวแต่ถ้าไม่เห็นหัวกันแบบนี้มันก็ไม่ใช่ ถ้าจะยุบสภาก็พร้อม นายกฯ กล้าไหม และอย่าลืมว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินของรัฐบาลจะเข้าสภาอีกจำนวนมาก ถ้าส.ส.ของพรรคไม่ยกมือผ่านให้ รัฐบาลจะเป็นอย่างไร วันนี้ถึงเวลาต้องแสดงออก ส.ส.ไม่ใช่ทหารเกณฑ์ การเมืองจำเป็นต้องเดินต่อ อีก 2 ปีจะครบวาระรัฐบาลเลือกตั้งใหม่ เราต้องเตรียมความพร้อม” แหล่งข่าวในพรรค พปชร. เปิดเผยถึงความอัดอั้นตันใจ
* 2 ก๊ก “ธรรมนัส” VS “สามมิตร”
จะว่าไปแล้ว ภายใน พปชร.ตอนนี้จะเห็นชัดเจนว่าเหลือเพียง 2 ก๊กหลัก คือ 1. “กลุ่มธรรมนัส” ที่เดินเกมแรง กดดันเรียกร้องเก้าอี้ตัวที่ใหญ่ขึ้น และ 2. “กลุ่มสามมิตร” กลุ่มที่คานอำนาจกลุ่มธรรมนัส แม้จะมี ส.ส.ในสังกัดไม่มากเท่าก็ตาม
นอกจากนั้น ตัวแปรสำคัญในพรรคคือ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล ก็เพิ่งแยกทางกับ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน ด้วยเหตุผลบางประการ
“วิรัช” เลือกไปอยู่กับ “ธรรมนัส” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ คนทั้งคู่ ถือเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของกันและกันมาวันนี้กลับจับมือกันเดินเกมหวังคุมพรรคเบ็ดเสร็จ
ขณะที่ “สุชาติ” เลือกไปซบ “กลุ่มสามมิตร” เป็นฐานที่มั่นใหม่ ท่ามกลางการจับตาว่า “กลุ่มธรรมนัส” พยายามเขย่าให้หลุดจากตำแหน่ง “รมว.แรงงาน”
ดังนั้น เมื่อกลุ่มธรรมนัสเปิดเกมรุก ทวง “รัฐมนตรีว่าการ” ขณะที่สามมิตรเลือกเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ผลีผลาม เพื่อรอจังหวะที่อีกฝ่ายก้าวพลาด จึงต้องรอลุ้นสเต็ปต่อไปของสามมิตร
* สูตร ครม.เล็กๆไม่ใหญ่ๆต้อง “3 ช”
ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ทาง พปชร.จะมีการประชุมเพื่อเสนอชื่อบุคคลใหม่ของพรรคให้เป็นรัฐมนตรีได้แก่ “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์”ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ถูกวางตัวในบัญชีพรรคอันดับ 1 ส่วนอีกคนที่“กลุ่ม 3 ช” เตรียมเสนอคือ “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร น้องเลิฟ “ธรรมนัส” ที่มีลุ้นคั่วตำแหน่งเสนาบดีก็คราวนี้
ส่วนตัวของ “ธรรมนัส” เอง มีรายงานว่า จ้องจะไปคุมกระทรวงแรงงาน “นฤมล” สลับไปนั่ง“รมช.คลัง” ส่วน “สันติ” นั้น ทาง “กลุ่ม 3 ช” มีแนวคิดจะเอา “กระทรวงศึกษาธิการ” ไปแลกกับ“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ของประชาธิปัตย์ เพื่อดัน “สันติ” ขึ้นว่าการ
เกมนี้ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.เกษตรฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อ่านเกมออก ไม่ยอมง่ายๆ จึงเดินสายคุย “อนุทิน ชาญวีรกูล”รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หวังแพ็คสองพรรคให้เป็นหนึ่ง สร้างอำนาจต่อรองกับ พปชร.
ถือว่าประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย วินวินทั้งคู่ เพราะประชาธิปัตย์จะสามารถรักษาโควตาเดิมเอาไว้ได้ ส่วนภูมิใจไทยอาจเข้าทาง แผนจ้องจะคุม “คมนาคม-สาธารณสุข” แบบเบ็ดเสร็จ โดยมีรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีช่วยจากภูมิใจไทยทั้งหมด ซึ่งสูตรนี้อาจต้องมีการสลับตำแหน่งรมช. กับประชาธิปัตย์
หรือหากแผน “กลุ่ม 3 ช” ไม่สำเร็จ เก้าอี้ “รมว.ดิจิทัลฯ” ก็ยังอยู่ และอาจดัน “สันติ” มานั่งตรงนี้ก็ย่อมเป็นไปได้
ส่วน “อธิรัฐ รัตนเศรษฐ”รมช.คมนาคม ที่ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า “พล.อ.ประวิตร” เคยเปรยๆว่าจะให้มาคุม “กระทรวงดิจิทัลฯ” อาจต้องหลบไปนั่งเป็น “รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย” หรือ“มท.2” แทน
ที่สำคัญ การปรับครม.ครั้งก่อนหน้านี้ “กลุ่ม 3 ช” พยายามผลักดันสูตรให้ “พล.อ.ประวิตร” ไปนั่งควบ “มท.1” โดย “ธรรมนัส” จะมานั่ง “มท.2” เพื่อดู ส.ส. เพราะคนใน พปชร.ต่างรับรู้กันดีว่า สไตล์การทำงานของ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.มหาดไทย คนปัจจุบัน ไม่ตอบสนองความต้องการของ “ส.ส.พปชร.” ที่ต้องการขยายฐานการเมืองในพื้นที่เท่าที่ควร พูดง่ายๆ ว่าจะอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่ขอมาเสมอ
การที่ ส.ส.พปชร.ร่วมลงชื่อคัดค้านนายกฯ ดึงคนนอกเป็นรัฐมนตรีนั้น อีกมุมหนึ่งก็เพื่อส่งสัญญาณถึง “รัฐมนตรี” ในโควตานายกฯให้เปลี่ยนท่าที เพื่อเตรียมการรองรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้นเอง
* พปชร.ปีกกล้าขาแข็ง สะท้อน“ประยุทธ์”ขาลง
ถึงวันนี้ จะเห็นได้ชัดว่า กลุ่มก้อนภายใน พปชร.กลุ่มใดที่ปีกกล้าขาแข็ง พร้อมงัดข้อกับ“พล.อ.ประยุทธ์” แบบไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันอีกต่อไปแล้ว ด้วยหลายเหตุผล โดยเฉพาะการเลือกคนนอกเป็นรัฐมนตรีข้ามหัวคนของพรรค ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็เลือกจะลอยตัว ไม่สังฆกรรม ไม่ร่วมเป็นเนื้อเดียวกันกับ พปชร.แต่ไหนแต่ไร ขณะที่พรรคก็ต้องการเติบโต หากปล่อยไปเช่นนี้ บรรดา ส.ส.ต่างมองว่า ไม่เป็นผลดีในระยะยาว เนื่องจากคู่แข่งทางการเมืองหลายพรรคดูจะมีความพร้อมมากกว่า พปชร.หลายขุม
ถึงตอนนี้ หาก ส.ส.พปชร.ยืนกรานต้องลดอำนาจนายกฯ ในการปรับ ครม. มุมหนึ่งพวกเขาอาจประเมินแล้ว มองเห็นอะไรบางอย่าง ที่ทำให้กล้าลุกขึ้นมาต่อกรกับผู้นำรัฐบาล หรือนี่จะเป็นสัญญาณช่วงขาลงของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างชัดเจน
เพราะพฤติกรรมหลายอย่างของนักการเมืองและนักเลือกตั้งใน พปชร.ในวันนี้ กับก่อนเลือกตั้งที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปลี่ยนไป จนเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก และปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะสร้างความระส่ำระสายให้กับภาพรวม “รัฐบาล” ที่อาจต้องปิดฉาก “ยุบสภา” ก่อนกำหนด