'จตุพร'ซัด'ประยุทธ์'รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ เชื่อไม่นานลงหลังเสือจะพบสัจธรรม
"จตุพร" ชี้ อำนาจ "ประยุทธ์" เปราะบาง หลังขู่รมต.ให้กลัว ซัด รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามกม.31 ฉบับ ยึดอำนาจกลายๆ ไม่ต้องมีทหาร เป็นลีลาที่เคยใช้ตอน 22 พ.ค.57 จนรัฐประหาร ซัด เป็น "รัฏฐาธิปัตย์" ในยามที่บ้านเมืองปกติ เชื่อ อีกไม่นานหมดอำนาจ จะพบสัจธรรม
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวผ่านเฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk หัวข้อ นินทา กาเล กับการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยสะท้อนถึงอำนาจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม เปราะบางมาก จนเก็บอาการไม่อยู่แล้วกร้าวข่มขู่ให้รัฐมนตรีกลัว โดยจากกรณีที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้มีการประชุมเมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) มีเรื่องการมอบอำนาจของรัฐมนตรีตามกฎหมาย 31 ฉบับให้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี หรือ โยกอำนาจทั้งหมดของคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย 31 ฉบับทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตอนประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เบ็ดเสร็จอยู่แล้ว เพระเป็นการประยุกต์มาจากกฎอัยการศึก ซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 บวกกับกฎหมายความมั่นคงส่วนต่างๆที่มีความเกี่ยวข้อง ดังนั้น เมื่อวานนี้ คณะรัฐมนตรีก็มอบอำนาจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ และมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา โดยอ้างถึงกรณีที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และขยายระยะเวลาบังคับใช้ออกเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ให้บรรดาหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมายหรือผู้รักษาการตามกฎหมาย ที่มีอยู่ตามกฎหมายมาเป็นอำนาจ หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว
ทั้งนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องในการอนุญาตอนุมัติสั่งการ การบังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกันแก้ไขปราบปรามระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน อาทิ พระราชบัญญัติโรคติดต่อพระราชบัญญัติยา,พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ , พระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำไทย , พระราชบัญญัติการเดินอากาศ , พระราชบัญญัติพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน, พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ , ทั้งหมด 31 ฉบับรวมถึงกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายดังกล่าวด้วย
ซึ่งความจริงก็คือการยึดอำนาจกลายๆ เพราะลีลาแบบนี้ของประยุทธ์ เคยใช้ก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั้งประเทศ ทั้งที่มีการสงสัยเรื่องการประกาศใช้อำนาจ และตนก็เป็นคนที่เชื่อมาตั้งแต่ต้นว่า อย่างไรก็ตาม ประยุทธ์ต้องลงมือยึดอำนาจและการประกาศใช้กฎอัยการศึกคือการขยับกำลังทหารมาปิดล้อมทุกๆส่วนเพื่อนักษาความสงบจากนั้นก็แปลงมาเป็นคณะรัฐประหารกันแทน
วันนี้ความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หากประยุทธ์ ไม่เคยใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จมาก่อน เราก็อาจจะมีความเข้าใจว่าเป็นเพราะประยุทธ์ ไม่มีอำนาจ แต่ด้วยความเป็นจริงนั้นทุกเรื่องราวในระหว่างที่ประยุทธ์เป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจทั้งนิติบัญญัติบริหาร ตุลาการ โดยคนคนเดียวนั้น
“อย่าว่าแต่กฎหมาย 31 ฉบับ กฎหมายทุกฉบับยังเล็กกว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะประเทศเรายอมรับการยึดอำนาจว่า ผู้ยึดอำนาจสำเร็จเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ มีสถานะเทียบเท่า องค์รัฏฐาธิปัตย์ในยามที่บ้านเมืองเป็นปกติ” นายจตุพร กล่าว
ดังนั้น ชี้ได้ชัดเจนว่า ในขณะที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหนือทุกอำนาจทั้งนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองได้ มาครั้งนี้นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นต้นมา ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นอุปสรรคในการใช้อำนาจ และหลายกฎหมายไม่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารสถานการณ์โควิด ดังนั้นกฎหมายที่ไม่เกี่ยวข้อง นั่นคือการยึดอำนาจกลายๆ ไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ต้องใช้กำลังทางการทหารมาแสดงตนเรื่องการยึดอำนาจ
นายจตุพร กล่าวถึง กรณีประยุทธ์ บอกว่ามีรัฐมนตรีบางคนไปนินทาประยุทธ์นั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นการเก็บอาการไม่อยู่ ซึ่งความจริงการพูดถึงผู้บังคับบัญชา ในสังคมไทยของผู้ใต้บังคับบัญชานั้น เชื่อว่ามีกันทุกคน ดังนั้น บางครั้งการสะท้อนปัญหาของคนที่เป็นรัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่ในทางปฏิบัติ เมื่อมีคำสั่งแล้ว ตัวเองไม่สามารถที่จะไม่เห็นด้วยได้ แน่นอนที่สุดก็ต้องพูดถึงโดยหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงซึ่งหน้า เพราะจะกลายเป็นปัญหาก็เข้าใจได้
เพียงแต่ความรู้สึกของนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในจุดที่มันเปราะบางเต็มที จนกระทั่งมีความรู้สึกถึงผู้ใต้บังคับบัญชานินทาและเสียงมันเข้าหู มันรกหู เพราะอย่างที่ตนบอกว่า คนเราเมื่อมีอำนาจมากต้องการฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากฟังเพราะฉะนั้นหลายคนได้รู้ทฤษฎีนี้
ดังนั้น วันที่ประยุทธ์ หมดอำนาจ ซึ่งตนเชื่อว่าอีกไม่นาน ประยุทธ์จะได้พบสัจธรรมและความจริงว่า ควรจะทำอะไรหลายๆอย่างในช่วงที่ยังมีอำนาจกว่า 7 ปีนี้ เพราะหลายเรื่องราว ประยุทธ์ไม่ได้มองเห็น แต่กลับมองเห็นในสิ่งที่เขาจัดฉากให้มองเห็น ประยุทธ์จึงเข้าใจผิดว่าได้แก้ไขปัญหาจนเป็นที่พึงพอใจของประชาชน ทั้งที่ความพึงพอใจที่ว่านั้นคือการจัดฉากทั้งสิ้น
ส่วนประเด็นเรื่องความขัดแย้งของคนในรัฐบาลประยุทธ์ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปรากฏการณ์ของนายกรัฐมนตรี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหมอไม่ทนได้เข้าชื่อขับไล่นายอนุทิน ชาญวีรกุล ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคนส่วนใหญ่มีข้อสงสัยว่าทำไมไม่ขับไล่ประยุทธ์ด้วย เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจทุกอย่าง ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงมีการโต้ไปมาระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐ นี่ก็คือรอยปริของรัฐบาลที่ชัดเจน และเชื่อว่าจะมีการใช้อำนาจ 31 ฉบับนี้ จัดการคนที่เห็นต่างกันอีก