แกะรอย ‘รัฐมนตรี’ จอมนินทา ‘นายกฯ’

แกะรอย ‘รัฐมนตรี’ จอมนินทา ‘นายกฯ’

กำแพงมีหู ประตูมีตา ส่วนคนนินทากาเล ย่อมไม่คลาดประสาทสัมผัสของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ไปได้ โดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเป็นถึงระดับ “รัฐมนตรี”

เมื่อนายกฯ ที่นั่งหัวโต๊ะนำประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 27 เม..ที่ผ่านมา ทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ในช่วงก่อนปิดประชุม ทำนองรู้ทันว่ามีรัฐมนตรีบางคนไม่พอใจอะไรบางอย่าง

"มีรัฐมนตรีบางคนพูดจาไม่ดีและนินทาผมในที่ประชุมบางวง ให้ระวังตัวไว้ด้วย ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกเข้ามาทำงาน จะชอบหรือไม่ชอบผม อย่านินทาให้ผมได้ยิน ถ้าผมได้ยินอีกผมจำเป็นต้องปรับออก จะริบโควตานั้นมาเป็นของผมเอง ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกัน ผมไม่เคยทำให้ท่านเสียหาย ผมมีทีมงานคอยดูเฟซบุ๊คทุกท่าน ผมไม่วางใจและไม่สบายใจ ใครก็ตามที่สร้างความขัดแย้ง เกลียดชัง ทุจริต ถ้ามีปัญหาผมจะพิจารณาเอาออก ผมจะไม่ให้โควตาพรรค จะดึงมาเป็นโควตาผม" พล..ประยุทธ์ แฉกลางวงประชุมอย่างดุเดือด

สะท้อนชัดว่า บุคลิกความเป็นทหารของนายกฯ ยังมีเต็มเปี่ยม ลูกผู้ชายฆ่าได้ หยามไม่ได้พล..ประยุทธ์ จึงแสดงอากัปกิริยาเช่นนั้นให้เห็น

มีการตั้งข้อสังเกตมากมายว่ารัฐมนตรีที่นายกฯ พูดถึงนั้นเป็นใคร สังกัดพรรคไหน แต่หากตั้งโจทย์ด้วยการเอาประเด็นการเมืองเป็นตัวตั้ง คงหนีไม่พ้นพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยที่ถูกมองว่ามีประเด็นไม่ลงรอยกับพล..ประยุทธ์

กรณีของประชาธิปัตย์ที่ไม่พอใจอย่างรุนแรงกับคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่85/2564 เรื่องการมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในระดับพื้นที่จังหวัด โดยให้ ..ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ ดูแลพื้นที่ภาคใต้ได้แก่ .สงขลา นครศรีธรรมราช และภูเก็ต แทนที่ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย จากประชาธิปัตย์

เรื่องนี้ประชาธิปัตย์ถือเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวง เนื่องจากพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลาและนครศรีฯถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ที่พรรคเก่าแก่จะสูญเสียเก้าอี้ .. ให้พรรคคู่แข่งอย่างพลังประชารัฐอีกไม่ได้แล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านประชาธิปัตย์พยายามกอบกู้ศรัทธากลับคืนมา หลังเผชิญภาวะตกต่ำอย่างขีดสุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพรรค การเลือกตั้งใหญ่ 24 มี..2562 พื้นที่กทม. ไม่มี..ของพรรคแม้แต่คนเดียว ส่วนพื้นที่ภาคใต้ เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด ถูกคู่แข่งชิงพื้นที่ไปได้จำนวนมาก

รวมถึงการเลือกตั้งซ่อม นครศรีฯ เขต3 ที่ผ่านไปหมาดๆประชาธิปัตย์เจ้าของพื้นที่เดิม ก็พลาดท่าเสียที่นั่งให้พลังประชารัฐเข้าไปอีก

ดังนั้น การที่ประชาธิปัตย์ตัดสินใจมาร่วมรัฐบาลกับพล..ประยุทธ์จุดมุ่งหมายหนึ่งคือการเป็นฝ่ายบริหาร ย่อมมีโอกาสและเอื้อให้พรรคเก่าแก่ แก้มือฟื้นความนิยมของตัวเอง แต่ก็คงไม่คาดคิดว่าพลังประชารัฐที่หมายตาพื้นที่ด้ามขวาน หวังจะยึดครองให้เป็นปึกแผ่น จะเปิดเกมรุกถึงขนาดนี้

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากความไม่พอใจอย่างรุนแรง กับคำสั่งนายกฯ ที่ให้คนของพลังประชารัฐมาคุมภาคใต้แทนนั้น จะถูกสะท้อนผ่านสื่ออย่างชัดเจน เพื่อต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง กลับไปเป็นแบบเดิมคือให้นิพนธ์คุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ของประชาธิปัตย์

ทว่าสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือรัฐมนตรีที่นินทานายกฯจนควันออกหูนั้น ใช่คนจากประชาธิปัตย์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องนี้หรือไม่

เพราะในเวลาไล่เลี่ยกัน ความเคลื่อนไหวของภูมิใจไทยเมื่อศุภชัย ใจสมุทร..บัญชีรายชื่อพรรค ซึ่งเป็นสายตรงบุรีรัมย์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คกระทบถึงพล..ประยุทธ์ ทำนองว่าการใช้อำนาจพิเศษ นายกฯถนัดที่สุด ไม่แปลกที่มีการเลือกใช้อํานาจพิเศษในการจัดการกับโรคระบาด ตัดการมีส่วนร่วมของภาคการเมืองออกรวมถึงได้ ตัดคณะรัฐมนตรีออกจากการทํางานใน ศบค.

มีการตั้งข้อสังเกตกันว่าศุภชัยและภูมิใจไทยอาจรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่า คณะรัฐมนตรีจะผ่านร่างประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 3) โดยรวบอำนาจรัฐมนตรี ผ่านกฎหมาย 31 ฉบับ มาอยู่ที่นายกฯคนเดียว ในรูปแบบซิงเกิลคอมมานด์ เพื่อแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพ ตามที่เคยใช้ได้ผลมาในการระบาดระลอกก่อนหน้านี้

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจลึกๆ ให้กับพลพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ เพราะคนเป็นหัวหน้าพรรคอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข กลับไม่มีบทบาททั้งที่เป็นรมว.สาธารณสุข

ถ้าจำกันได้ ก่อนหน้านี้ กรณีที่นายกฯ ตั้งคณะทำงานจัดหาวัคซีนทางเลือก ก็ไม่ปรากฎชื่อของอนุทินมาครั้งหนึ่งแล้ว จนมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา กระทั่งมาถึงกรณีล่าสุดกลุ่มหมอไม่ทนที่ร่วมลงชื่อขับไล่อนุทินพ้นตำแหน่ง ด้วยเหตุผลว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด ผ่าน change.org และมีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 2 แสนคน

เมื่อมีหลายเรื่องประเดประดังเข้ามา อาจสร้างความกดดันให้อนุทินจนอาจเผลอลืมตัวทำอะไรออกไปหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ สถานการณ์ภายในรัฐบาลขณะนี้ ไม่ค่อยสู้ดีนัก

เมื่อมีแรงกระเพื่อมจากภายในเกิดขึ้น เท่ากับมีเชื้อไฟ และเป็นไปได้สูงที่จะลามต่อไปถึงเรื่องอื่นๆ ได้อีก ในจังหวะที่พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มออกอาการไม่ปลื้มสไตล์การทำงานบ้างมุมของผู้นำ

เสถียรภาพรัฐบาลขณะนี้จึงอยู่ในอาการน่าเป็นห่วง ท่ามกลางการจับตาเรื่องการยุบสภาของนายกฯที่ถือเป็นไพ่เด็ดกำราบฝ่ายการเมือง สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะชั่วโมงนี้ไม่มีใครพร้อมเท่าพลังประชารัฐอีกแล้ว

การที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่ว่าจะพรรคใดก็ตาม จะเปิดหน้าชนโต้งๆ กับนายกฯแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม จึงทำได้ลำบาก เมื่อดีดลูกคิดวัดกำลังกันแล้ว ยังเสียเปรียบอยู่หลายขุม

การตั้งวงนินทาลับหลังจึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพียงแต่ตัวรัฐมนตรีที่ถูกนายกฯฟาดอย่างหนักจะเป็นใคร คนการเมืองพอจะแกะรอยกันได้แล้วว่า มาจากคนที่สังกัดพรรคร่วมสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน