“ธนาธร” วิเคราะห์เลือกตั้งใหม่ โจทย์ใหญ่สร้าง ปชต.-ปฏิรูปสถาบัน
“ธนาธร” เปิดหมดเปลือก “เลือกตั้งท้องถิ่น” ลุยต่อทุกสนาม วิเคราะห์ “บัตร 2 ใบ” การเมืองโจทย์เดิม ชี้หากไม่แก้ปัญหาประชาธิปไตย “กฎกติกา-รธน.” ที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน วังวนขัดแย้งไม่จบ ขอความเป็นธรรม รับฟังเหตุผลข้อเสนอ ไม่ทำสังคมแตกแยก
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าให้สัมภาษณ์นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้ดำเนินการรายการ “สุดกับหมาแก่” ออกอากาศทาง “เนชั่นทีวี” ช่อง 22 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นของ “คณะก้าวหน้า” ตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เช่น เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มีความแตกต่างถึงการเลือกตั้งระดับประเทศ หรือ ส.ส. โดยการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นนั้นจะเน้นกระแสในพื้นที่ หรือผู้สมัครเป็นที่รู้จัก มีสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่ ขณะที่การเลือกตั้งระดับชาติจะวัดกระแสแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และกระแสพรรคสำคัญมากกว่า
อย่างไรก็ดี มีข้อแตกต่างกันหากเทียบกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ที่จะมีความสำคัญของกระแสพรรคการเมือง และผู้นำพรรคการเมือง โดยเป็นเรื่องของพรรคก้าวไกลที่จะส่งผู้สมัคร ขณะที่การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยามีความเป็นท้องถิ่นมากกว่า โดยคณะก้าวหน้าเตรียมบุคคลไว้แล้วอย่างน้อย 2 คน เพื่อพิจารณาจะส่งลงสมัครรับเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา
นายธนาธร กล่าวอีกว่า สำหรับการเลือกตั้ง อบต.ราชาเทวะ ที่ได้นายก อบต.คนเดิมนั้น ยอมรับว่ารู้สึกผิดหวัง เพราะตั้งเป้าไว้ว่าจะชนะน็อค เนื่องจากเชื่อว่าหากเราไปบริหารแล้วจะทำได้ดีกว่า แต่ผู้สมัครนายก อบต.ของเราเป็นหน้าใหม่ ทำงานการเมืองครั้งแรก จึงแปลกใจ แม้จะผิดหวังก็ตาม เพราะยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเพียงพอ จึงต้องรอเวลาให้ผู้สมัครของคณะก้าวหน้าทำงานการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งใจทำงานจริง ๆ ต้องใช้เวลาร่วมทุกข์ร่วมสุข และสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่ก่อน
ในส่วนของฐานคะแนนเสียงคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ส่วนใหญ่อยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งซ้อนทับกับเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย การต่อสู้ในระดับชาติจะเป็นอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องถามพรรคก้าวไกล แต่เชื่อว่าฐานคะแนนเสียงของคณะก้าวหน้ามีอยู่ในทุกภูมิภาค มากน้อยแตกต่างกัน โดยภูมิภาคอีสานที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง อบต.รอบนี้ เพราะหลายพื้นที่แสดงผลงานให้คนเห็นจริง ๆ ว่าการเมืองท้องถิ่นทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้
ส่วนเรื่องการขยายไปสู่ระดับชาติ นายธนาธร กล่าวว่า ต้องเรียนว่าเร็วไป แต่ทุกพื้นที่เราตั้งใจทั้งหมด ยังยืนยันจุดยืนเดิมคือการไม่ซื้อสิทธิขายเสียง ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้นคงให้คำตอบไม่ได้ว่า เราสามารถชนะพรรคนู้นพรรคนี้ในพื้นที่ไหนได้หรือไม่ แต่คณะก้าวหน้าจะทำให้เต็มที่
- เลือกตั้งครั้งหน้าการเมืองโจทย์เดิม
นายธนาธร ยังวิเคราะห์ถึงการเลือกตั้งใหม่โดยใช้กติกา “บัตร 2 ใบ” การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ ว่า การกลับมาใช้บัตร 2 ใบ โดยยกเลิก ส.ส.พึงมี จะทำให้เกิดพรรคใหญ่มากขึ้น พรรคขนาดกลาง และขนาดเล็กลำบากในการเลือกตั้ง ส่วนจะเป็นอย่างไรคิดว่า กลับไปเรื่องเดิม ยังเชื่อว่าโจทย์ปัญหาการเมืองคือเรื่องประชาธิปไตย เป็นปัญหาสำคัญของไทย ถ้าเราไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ ถ้าไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ประเทศไทย จะอยู่วังวนขัดแย้งทางการเมืองอย่างนี้
“พลัง เวลา และทรัพยากรของประเทศ ของผู้บริหารประเทศจะไม่ได้นำมาใช้พัฒนาประเทศ แต่จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ตัวเองได้สืบทอดดำรงตำแหน่งต่อไปได้ เป็นต้นทุนเสียหายของประเทศ หากมีการเลือกตั้งในปี 2565 หรือ 2566 ก็ตาม แต่โจทย์ทางการเมืองเป็นโจทย์เดิมในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562” นายธนาธร กล่าว
- มั่นใจประสบการณ์บริหารประเทศได้
ผู้ดำเนินรายการถามว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปการชูธงประชาธิปไตยอย่างเดียวเห็นจะไม่พอ สังคมอาจคาดหวังว่าหากจะส่งมอบประเทศให้พรรคการเมืองใดไปบริหาร ต้องมั่นใจว่าบริหารจัดการได้ เช่น พรรคก้าวไกล นอกจากประชาธิปไตย มีอะไรหยิบไปขายบ้าง นายธนาธร กล่าวว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญ มีแต่คนบอกว่าเราบริหารเป็นหรือไม่ ตนแน่ใจว่าการบริหารไม่แพ้ใครเหมือนกัน สมัยเป็นผู้บริหารธุรกิจครอบครัว เคยตั้งโรงงานในต่างประเทศหลายแห่ง เคยเป็นหัวหน้าคนต่างชาติหลายคน น้อยมากที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันทำได้ แต่หลายคนบอกว่าเราไม่มีประสบการณ์ แต่ถึงอย่างนั้นคนยังบอกว่าเราไม่มีความสามารถด้านบริหาร อย่างไรก็ดีในการเลือกตั้งเทศบาลได้ทำให้ดูแล้ว โดยมีนโยบายที่ใช้ได้จริงเยอะหลายแห่งด้วย เราแสดงให้เห็นแล้วว่าสร้างประเทศไทยให้ดีขึ้นได้
“ถ้าให้ผม 4 หมื่นล้านบาท 4 ปี ผมทำให้น้ำประปากินได้ทั่วประเทศ นี่เป็นเรื่องซีเรียส เป็นเรื่องคุณภาพชีวิตพื้นฐาน ลดขยะ ถ้าน้ำประปากินได้ ขยะพลาสติกจะลดลงตั้งเท่าไหร่” นายธนาธร กล่าว
- ปัญหาไม่จบถ้าไม่มีกติกาที่ยอมรับร่วมกัน
ส่วนประเด็นถ้ากลุ่มของนายธนาธรได้บริหารประเทศ จะบริหารจัดการความขัดแย้งของทุกฝ่ายได้อย่างไรนั้น นายธนาธร กล่าวว่า ยืนยันว่าสิ่งจำเป็นคือต้องมีกฎกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน ถ้าไม่มีกฎกติกายอมรับร่วมกัน มันก็ไม่จบ สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ก.ย. 2549 ยังส่งผลกระทบต่อปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นการเชิญชวนให้ทุกคนศรัทธาต่อประชาธิปไตย ไม่ใช่ทางเลือกของสังคม แต่เป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อไทยกลับมาเป็นประชาธิไตย มีกฎกติกา มีรัฐธรรมนูญที่ทุกฝ่ายยอมรับด้วยกัน นี่ต่างหากทำให้สังคมสงบสุขได้
“ไม่มีประเทศใดในโลกได้ประชาธิปไตยมาด้วยการร้องขอ มีแต่การเรียกร้อง การรณรงค์อย่างแข็งขันเท่านั้น ประชาธิปไตยไม่เคยหล่นจากฟ้า ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม” นายธนาธร กล่าว
ผู้ดำเนินรายการถามอีกว่า การบริหารความขัดแย้งในสังคมต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ ท่องหลักการอย่างเดียวจะไปไหวหรือไม่ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ไม่ได้ท่องหลักการอย่างเดียว งั้นถามกลับคุณดนัย (ผู้ดำเนินรายการ) ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มีการใช้หลักการอะไรบ้างหรือไม่ ไม่ว่าสภา หรือกระบวนการยุติธรรม ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยโดยฝ่ายเดียว ไม่ว่าพูดจามีเหตุผล แต่พวกมากลากไปอยู่ดี
- ขอความเป็นธรรม ข้อเสนอถูกป้ายสี
ส่วนประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่ม “เด็กหัวร้อน” ขยันสร้างประเด็นทะเลาะกันทุกวันนั้น นายธนาธร กล่าวว่า เป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นจากฝ่ายตรงข้ามที่ด้อยค่าโจมตีพวกเรา พวกเราพูดถึงอะไรไม่เคยใช้คำหยาบคาย ไม่ว่าตน หรือนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เรายืนยันหลักการ พูดถึงวาระสำคัญของไทย แม้ทำให้เกิดวาระแลกเปลี่ยนถกเถียง แต่ทุกเรื่องเสนอด้วยเหตุผล ไม่เคยนำเสนอด้วยท่าทีประทุษร้าย หรือน้ำเสียงที่ทำให้สังคมแตกแยก แต่เสนอว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ควรต้องแก้ไข ปฏิรูปอย่างไร
“อยากเรียนประชาชนที่ฟังอยู่ ให้ความเป็นธรรมเราบ้าง ฟังเรื่องต่าง ๆ ที่เราพูดด้วยตัวเอง อย่าฟังข่าว หรือสำนักข่าวที่วาดภาพให้เราเป็นเหมือนปีศาจ จริง ๆ เราพูดและทำอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นความปรารถนาดีต่อสังคม” นายธนาธร กล่าว
ประธานคณะก้าวหน้า ยังกล่าวด้วยว่า การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องพูดตรง ๆ ถึงเวลาได้รับการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางในสังคมแล้ว เข้าใจเป็นอย่างยิ่งว่ามีคนจำนวนมากในสังคม รักและเทิดทูนสถาบันฯ แต่อยากนำเสนอว่าการปฏิรูปสถาบันฯต่างหากที่ทำให้สถาบันฯอยู่ยั่งยืนสถาพร คู่กับประชาธิปไตยได้อย่างสง่างาม การนำเสนอปฏิรูปสถาบันฯ ไม่ใช่การล้มล้าง อย่างที่หลายฝ่ายพยายามป้ายสีพวกเรา ถึงเวลาต้องพูดคุยเรื่องนี้
- เสียใจครอบครัวโดนหางเลขการเมือง
นายธนาธร กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวแล้ว โดยให้คนในครอบครัวดำเนินการ แต่สมาชิกในครอบครัวให้การสนับสนุนและให้กำลังใจเสมอ ส่วนเรื่องคดีที่สมาชิกในครอบครัวโดนนั้น พวกเขามีความกังวลใจอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครบอกว่าตนกำลังทำสิ่งไม่ถูกต้อง ทุกคนให้กำลังใจ แน่นอนมีลูกหลงกระเด้งกระดอนไปถึงพวกเขาบ้าง ก็เสียใจที่ทางการเมืองทำให้เกิดแบบนั้น แต่ยืนยันว่าแนวคิด ความคิดความอ่านเป็นของตนคนเดียว สมาชิกคนอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย
ส่วนคดีที่กังวลที่สุดคือกรณีหลานสาว “อั่งอั๊ง” (ลูกสาวนางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ พี่สาวนายธนาธร) ที่โดนกล่าวหาในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เนื่องจากเขายังเด็ก
นายธนาธร กล่าวในช่วงท้ายยอมรับว่าพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าหากจำเป็นเท่านั้น โดยหากต้องเป็นผู้นำประเทศ เพื่อสร้างประชาธิปไตยก็พร้อม แต่ระหว่างที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองอยู่ หากมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการประนีประนอม จนเข้าสู่สภาวะปกติทางการเมือง คงไม่คิดว่าต้องมีตำแหน่ง หากวันนั้นมาถึงอยากกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัว ลูก และงานอดิเรก แต่เมื่อนี่เป็นภารกิจของเราแล้วคงทิ้งง่าย ๆ ไม่ได้ อยากทำตามฝันของเรา สร้างไทยให้ดีกว่านี้ สำหรับคนรุ่นเราให้เต็มที่