“เพื่อไทย”ชี้คริปโทฯต้องปล่อยให้โตค่อยตัดแต่ง - ชี้ไม่ใช่ตัดตอนต้นกล้า
“เพื่อไทย”ชี้คริปโทฯ ต้องปล่อยให้โตค่อยตัดแต่ง - ชี้ไม่ใช่ตัดตอนต้นกล้า ระบุยังไม่รู้ทิศทางในอนาคต ควรรอให้เติบโตก่อนคิดเก็บภาษี
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีภาษีคริปโทเคอร์เรนซี (คริปโทฯ) ว่า ปัจจุบันการต่อสู้ทางความคิดระหว่างนโยบายการเงินแบบเดิม กับคริปโทเคอร์เรนซี (คริปโทฯ) นั้นยังไม่สะเด็ดน้ำ ธนาคารกลางจำเป็นต้องเรียนรู้อีกมากถึงความเป็นไปได้ของการผสานนโยบายการเงินแบบเดิม ควบคู่กับคริปโทเคอร์เรนซี หรือแม้แต่การปล่อยให้คริปโทเคอร์เรนซี เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงิน
โดยคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก ในการทำหน้าที่เป็นเงินตราดิจิดัล เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่มีการพูดกันไปไกลถึงการแทนที่ระบบธนาคารกลางเลย ซึ่งปัจจุบันยังเป็นเครื่องหมายคำถามที่ตัวใหญ่มาก ที่คริปโทเคอร์เรนซีต้องพยายามตอบ
“วันนี้ยังไม่มีใครรู้ถึงทิศทางการพัฒนา วันนี้เรารู้แค่ว่าระบบการชำระเงินเดิมมีข้อจำกัด ธนาคารกลางเองก็ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังเร็วไปมากที่จะสรุปว่าคริปโทเคอร์เรนซีเป็นคำตอบ และเร็วไปมากที่ภาครัฐจะตัดสินใจเชิงนโยบายบนความไม่รู้ ว่าจะเปิดรับ ต่อต้าน ปิดกั้น หรือสนับสนุนอย่างไร”
ดร.เผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ตนจึงไม่เห็นด้วยกับการเร่งรีบกระโจนเข้าเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซี ของกรมสรรพากร ซึ่งถือเป็นมาตรการที่มีผลในเชิง “ต่อต้าน” การพัฒนาการของระบบการเงินรูปแบบใหม่นี้ ทั้งๆ ที่ในภาพใหญ่ในเชิงนโยบายยังไม่ได้ข้อสรุป สรรพากรข้ามไปคุยเรื่องเก็บภาษีอย่างไรแล้ว ทั้งที่ในภาพใหญ่เรายังไม่สะเด็ดน้ำเลยว่าควรจะเก็บหรือไม่ และเก็บเมื่อไหร่
ซึ่งภาษีมีผลให้อุตสาหกรรมนั้นๆ หดตัว รั้งพัฒนาการและการเติบโต คริปโทเคอร์เรนซีกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น การเริ่มเก็บภาษีกับธุรกิจรูปแบบใหม่อย่างนี้ จำเป็นต้องรอให้อุตสาหกรรมนั้นเซตตัวได้ในระดับหนึ่งก่อน การเริ่มเก็บภาษีเร็วไปเหมือนเป็นการตัดตอนโอกาสทางธุรกิจ โอกาสการระดมทุนและการสร้างธุรกิจในโลกยุคใหม่ ในอนาคตตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ไทยอาจจะใหญ่กว่านี้เป็นพันเป็นหมื่นเท่า
“ถึงตอนนั้นการเก็บภาษีจึงคุ้มค่าที่จะทำ และหากคริปโทเคอร์เรนซี ไม่โตในไทยเนื่องจากโดนภาษี ทุนสามารถย้ายไปโตที่อื่นได้ภายในเสี้ยววินาที นี่คือ การเสียโอกาส อีกทั้งถ้าคริปโทเคอร์เรนซี บนดินถูกตัดตอน คริปโทเคอร์เรนซี ใต้ดินก็จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความซับซ้อนขึ้นไปอีก”
ทั้งนี้จึงอยากให้ภาครัฐแยกคิดระหว่าง “การกำกับดูแล” คริปโทเคอร์เรนซี กับ “การกีดกัน” คริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน ผมเห็นว่าการกำกับดูแลควรทำในระดับที่เหมาะสม แต่ไม่เห็นด้วยกับการกีดกันเพราะปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซี ไม่ใช่ภัยคุกคาม คริปโทเคอร์เรนซีควรสามารถโตขึ้นได้ โดยคริปโทเคอร์เรนซีก็มีหน้าที่พิสูจน์ตัวเองไปเรื่อยๆ โดยที่ระหว่างนี้ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อระบบการเงินแต่อย่างใด หลักคิดของรัฐต่อคริปโทเคอร์เรนซีจึงควรเป็น “ปล่อยให้โตแล้วค่อยตัดแต่ง” โดยการกำกับที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ “ตัดตอน” ตอนยังเป็นต้นกล้า
“ภาครัฐและ ธปท. ควรทุ่มเทเวลากับการพัฒนาระบบการเงินให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางการเงินของโลกยุคใหม่ ควรเร่งทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Retail CBDC) ซึ่งเป็นตรงกลางระหว่าง Fiat Money และคริปโทเคอร์เรนซีเพื่อลบข้อจำกัดของระบบการชำระเงินเดิม ธปท.ควรทำหน้าที่ของตนโดยการทำ CBDC ให้แข็งแรง เป็นที่ยอมรับ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินภาครัฐ สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้สอดคล้องกับพัฒนาการของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไป”
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์